"เมื่อไหร่ที่คุณ หรือผม หรือเรา ทำให้ 51% ของผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเห็นดีเห็นงามกับระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ได้ เมื่อนั้นการเปลี่ยนแปลงประเทศก็อยู่แค่เอื้อม"
เราทั้งหลายยังมีภารกิจหนักหน่วงบนเส้นทางคดเคี้ยวยาวนาน เต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม แต่ "เราคืออนาคต" และ "ประชาธิปไตย" คือพลังแห่งอนาคตอย่างมิพักต้องสงสัยอีกต่อไปแล้ว
นักวิชาการและครู อาจารย์ ด้านรัฐศาสตร์ฝ่ายประชาธิปไตย ต้องออกนอกห้องบรรยาย ออกจากห้องพักครูอาจารย์ ออกจากโต๊ะทำงานการวิจัย ทิ้งทุกอย่างที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับสำนึกประชาธิปไตย แล้วก้าวลงมาสู่มวลชนที่จมอยู่ในความมืดบอดแห่งภูมิปัญญา มีชีวิตอยู่ใต้เงื้อมเงาของการโกหกพกกลม ปกปิดบิดเบือน และขูดรีดเอารัดเอาเปรียบมานานนับศตวรรษ หลายชั่วคนสืบทอดกันมา
นำพาคบไฟและแสงสว่างแห่งประชาธิปไตยที่เป็นจริงในทางปฏิบัติ มาส่งมอบให้แก่ประชามหาชนอันไพศาล ที่กระจายกันอยู่ทั่วทุกหัวระแหง แล้วสลัดคราบความเป็น "ชนชั้นนำผู้มีอภิสิทธิ์" ทิ้งเสีย ก้าวเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับประชาชนทั้งหลายเหล่านั้น
ผลักดันปิตุภูมิและประชาชาตินี้ไปสู่อนาคตที่รุ่งโรจน์เกรียงไกร มีเกียรติยศและเกียรติภูมิทัดหน้าเทียมตากับประชาชาติทั้งมวลในสหัสวรรษนี้
เมื่อนั้น วิชาการทางรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ จึงจะเป็นวิชาการของประชามหาชนอย่างแท้จริง
สำหรับสภาวะทั่วไปทางความรู้สึกนึกคิดและสภาพจิตใจภายหลังความสูญเสียเนื่องจากการใช้กำลังวุธ ในระหว่างปฏิบัติเข้าสลายการชุมนุมด้วยข้ออ้าง "คืนพื้นที่" เรากำลังจะมาตกลงร่วมกันสร้างชาติไทยใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ หรือเราจะมาล้างแค้นเป็นการส่วนตัวเอากับคนชั่วๆไม่กี่คน ทั้งที่เมื่อเราสร้างความถูกต้องชอบธรรมขึ้นมาในแผ่นดินนี้ได้แล้ว คนชั่วเหล่านั้นย่อมไม่อาจลอยนวลพ้นความเที่ยงธรรมอย่างแท้จริงไปได้
อาชญากรผู้ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติย่อมไม่อาจมีที่ยืนในฐานะผู้ลี้ภัยการเมือง
สิ่งที่เราทั้งหลายควรจะคิดมาตลอดหรือมาเริ่มต้นคิดอย่างจริงจังตอนนี้ก็ยังไม่สายเกินไป คือ เราจะขับเคลื่อนขบวนประชาธิปไตยกันอย่างไรในเวลาที่เราเพลี่ยงพล้ำ หรือตกเป็นรองในทางการเมือง หรือโดยข้อบังคับทั้งหลายที่มีธาตุแท้เป็นเพียง "กฎโจร"
เราแต่ละคนที่มีบทบาทเป็นผู้นำในแต่ละชุมชน หรือกลุ่มความคิด "ต้อง" ใช้เวลาให้มากขึ้น ว่าเท่าที่ผ่านมา เราแต่ละคนเคลื่อนไหวกันในลักษณะที่มี "เนื้อหาทางการเมือง" มากน้อยแค่ไหน
ไม่ใช่พูดกันได้ "มัน" แค่ไหน "สะใจ" แค่ไหน หรือ "ก่นประณาม" ฝ่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตยกันได้อย่างน้ำไหลไฟดับกันจนเชี่ยวชาญกับวาทกรรม "ต่อสู้" แค่ไหน
เรากำลังก้าวมาถึงหัวเลี้ยวหัวต่อทางประวัติศาสตร์ของปิตุภูมิ ความเอาจริงเอาจัง ความมุ่งมั่นทุ่มเท และความสันทัดจัดเจนในการสรุปสิ่งที่เกิดขึ้น การวางทิศทาง/แนวทางการเคลื่อนไหวข้างหน้าอย่างชาญฉลาดเท่านั้น จึงจะนำพาขบวนประชาธิปไตยไปสู่ชัยชนะได้
"การต่อสู้สร้างประชาธิปไตย ไม่ใช่การชุมนุมตบมือร้องเพลง หรือการใช้ผรุสวาจาต่อฝ่ายตรงข้าม"
ระยะทางและกาลเวลาที่จำเป็นสำหรับเราจะยาวหรือสั้น ขึ้นอยู่กับการทุ่มเท อุตสาหะ มานะบากบั่น และความถูกต้องในจุดยืนและแนวทางการเคลื่อนไหว หาไม่แล้ว ทุกอย่างใน 3 ปีมานี้อาจจะสูญเปล่าหรือไม่คุ้มค่ากับเวลาและทรัพยากรที่ใช้ไป...
โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตจำนวนมากที่ปลิดปลงลงไปในท่ามกลางการต่อสู้นี้
ปรับปรุงจากกระดานข้อความบน facebook; 6 มิถุนายน 2553 เวลาประมาณ 22.00-24.00 น.
อ่านทั้งหมด -> http://arinwan.co.cc/index.php?topic=579.msg707#msg707
หรือบทความ/กระทู้ลักษณะเดียวกันนี้ได้ที่ -> http://arinwan.co.cc
เราทั้งหลายยังมีภารกิจหนักหน่วงบนเส้นทางคดเคี้ยวยาวนาน เต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม แต่ "เราคืออนาคต" และ "ประชาธิปไตย" คือพลังแห่งอนาคตอย่างมิพักต้องสงสัยอีกต่อไปแล้ว
นักวิชาการและครู อาจารย์ ด้านรัฐศาสตร์ฝ่ายประชาธิปไตย ต้องออกนอกห้องบรรยาย ออกจากห้องพักครูอาจารย์ ออกจากโต๊ะทำงานการวิจัย ทิ้งทุกอย่างที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับสำนึกประชาธิปไตย แล้วก้าวลงมาสู่มวลชนที่จมอยู่ในความมืดบอดแห่งภูมิปัญญา มีชีวิตอยู่ใต้เงื้อมเงาของการโกหกพกกลม ปกปิดบิดเบือน และขูดรีดเอารัดเอาเปรียบมานานนับศตวรรษ หลายชั่วคนสืบทอดกันมา
นำพาคบไฟและแสงสว่างแห่งประชาธิปไตยที่เป็นจริงในทางปฏิบัติ มาส่งมอบให้แก่ประชามหาชนอันไพศาล ที่กระจายกันอยู่ทั่วทุกหัวระแหง แล้วสลัดคราบความเป็น "ชนชั้นนำผู้มีอภิสิทธิ์" ทิ้งเสีย ก้าวเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับประชาชนทั้งหลายเหล่านั้น
ผลักดันปิตุภูมิและประชาชาตินี้ไปสู่อนาคตที่รุ่งโรจน์เกรียงไกร มีเกียรติยศและเกียรติภูมิทัดหน้าเทียมตากับประชาชาติทั้งมวลในสหัสวรรษนี้
เมื่อนั้น วิชาการทางรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ จึงจะเป็นวิชาการของประชามหาชนอย่างแท้จริง
สำหรับสภาวะทั่วไปทางความรู้สึกนึกคิดและสภาพจิตใจภายหลังความสูญเสียเนื่องจากการใช้กำลังวุธ ในระหว่างปฏิบัติเข้าสลายการชุมนุมด้วยข้ออ้าง "คืนพื้นที่" เรากำลังจะมาตกลงร่วมกันสร้างชาติไทยใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ หรือเราจะมาล้างแค้นเป็นการส่วนตัวเอากับคนชั่วๆไม่กี่คน ทั้งที่เมื่อเราสร้างความถูกต้องชอบธรรมขึ้นมาในแผ่นดินนี้ได้แล้ว คนชั่วเหล่านั้นย่อมไม่อาจลอยนวลพ้นความเที่ยงธรรมอย่างแท้จริงไปได้
อาชญากรผู้ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติย่อมไม่อาจมีที่ยืนในฐานะผู้ลี้ภัยการเมือง
สิ่งที่เราทั้งหลายควรจะคิดมาตลอดหรือมาเริ่มต้นคิดอย่างจริงจังตอนนี้ก็ยังไม่สายเกินไป คือ เราจะขับเคลื่อนขบวนประชาธิปไตยกันอย่างไรในเวลาที่เราเพลี่ยงพล้ำ หรือตกเป็นรองในทางการเมือง หรือโดยข้อบังคับทั้งหลายที่มีธาตุแท้เป็นเพียง "กฎโจร"
เราแต่ละคนที่มีบทบาทเป็นผู้นำในแต่ละชุมชน หรือกลุ่มความคิด "ต้อง" ใช้เวลาให้มากขึ้น ว่าเท่าที่ผ่านมา เราแต่ละคนเคลื่อนไหวกันในลักษณะที่มี "เนื้อหาทางการเมือง" มากน้อยแค่ไหน
ไม่ใช่พูดกันได้ "มัน" แค่ไหน "สะใจ" แค่ไหน หรือ "ก่นประณาม" ฝ่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตยกันได้อย่างน้ำไหลไฟดับกันจนเชี่ยวชาญกับวาทกรรม "ต่อสู้" แค่ไหน
เรากำลังก้าวมาถึงหัวเลี้ยวหัวต่อทางประวัติศาสตร์ของปิตุภูมิ ความเอาจริงเอาจัง ความมุ่งมั่นทุ่มเท และความสันทัดจัดเจนในการสรุปสิ่งที่เกิดขึ้น การวางทิศทาง/แนวทางการเคลื่อนไหวข้างหน้าอย่างชาญฉลาดเท่านั้น จึงจะนำพาขบวนประชาธิปไตยไปสู่ชัยชนะได้
"การต่อสู้สร้างประชาธิปไตย ไม่ใช่การชุมนุมตบมือร้องเพลง หรือการใช้ผรุสวาจาต่อฝ่ายตรงข้าม"
ระยะทางและกาลเวลาที่จำเป็นสำหรับเราจะยาวหรือสั้น ขึ้นอยู่กับการทุ่มเท อุตสาหะ มานะบากบั่น และความถูกต้องในจุดยืนและแนวทางการเคลื่อนไหว หาไม่แล้ว ทุกอย่างใน 3 ปีมานี้อาจจะสูญเปล่าหรือไม่คุ้มค่ากับเวลาและทรัพยากรที่ใช้ไป...
โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตจำนวนมากที่ปลิดปลงลงไปในท่ามกลางการต่อสู้นี้
ปรับปรุงจากกระดานข้อความบน facebook; 6 มิถุนายน 2553 เวลาประมาณ 22.00-24.00 น.
อ่านทั้งหมด -> http://arinwan.co.cc/index.php?topic=579.msg707#msg707
หรือบทความ/กระทู้ลักษณะเดียวกันนี้ได้ที่ -> http://arinwan.co.cc