ผลักดัน 5 ล้าน 4 แสน เจตจำนงเสรี ไปสู่การสร้างชาติไทยใหม่
ทันทีที่การประกาศจำนวนประชาชนที่ร่วมลงชื่อใน "ฎีการ้องทุกข์" ว่าสูงถึง 5,363,429 คน ความเคลื่อนไหวจากปีกปฏิปักษ์ประชาธิปไตย ก็ดาหน้ากันออกมาแสดงอาการร้อนรุ่มทุรนทุรายไปตามๆกัน กระทั่งล่าสุดจากข่าว มติชนออนไลน์ ที่พาดหัวแบบจุดพลุว่า จม.เปิด ผนึก อ.จุฬาฯกว่า1500 คนค้านฎีกาอภัยโทษ "แม้ว" ชี้อันตราย กดดัน-กระทบศรัทธาสถาบัน หากในเนื้อหาข่าวกลับโอละพ่อ เป็น "จนกระทั่งเย็นวันที่ 4 สิงหาคม มีคณาจารย์จุฬาฯลงชื่อแล้วกว่า 300 คนและบุคคลากรรวมกว่า 1,500 คน และคาดว่า ในวันที่ 5 สิงหาคมซึ่งมีการประชุมคณบดีจะนำจดหมายเปิดผนึกดังกล่าวให้คณบดีที่เห็นด้วยลงนาม"
ตลอดระยะเวลาประมาณ 1 เดือน นับจากการประกาศในที่ชุมนุมกลางพายุฝน ณ เวทีการชุมนุมของคนเสื้อแดงท้องสนามหลวง เมื่อวันนี่ 27 มิถุนายน จนช่วงเวลาก่อนและหลังวันดี-เดย์ เพื่อนับจำนวนผู้ร่วมลงรายชื่อ ปฏิกิริยาแทบจะในลักษณะรายวันจากผู้คนทุกๆฝ่าย ล้วนพุ่งเป้าไปที่ "จุดมุ่งหมาย" ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังการเคลื่อนไหวรอบนี้ของ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน
ฝ่ายรัฐ อาศัยเครื่องมือประชาสัมพันธ์สำเร็จรูป นั่นคือฟรีทีวีทั้งระบบ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถานี "หอยม่วง" ที่เกิดจากภาษีอากรของประชาชนล้วนๆ พุ่งเป้าโจมตีไปที่ความ "ควร-ไม่ควร" "ทำได้-ไม่ได้" อยู่แทบจะตลอดเวลา ทั้งโหมประโคมเภทภัยทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นแก่ประชาชนที่ร่วมลงชื่อโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ พร้อมกับความพยายามที่จะรุกกลับด้วยการใช้เล่ห์เพทุบายต่างๆนานา ให้ประชาชนถอนรายชื่อ "อย่างเป็นทางการ"
มีสภาวะน่าจับตามองในช่วงเวลาท้ายๆ ก่อนวันที่ 31 กรกฎาคม ปรากฏอยู่ตามเว็บบอร์ดและห้องสนทนาทุกรูปแบบในโลกไซเบอร์ของพลังประชาธิปไตย คือคำถามระหว่างกัน ว่า "ถ้าได้จำนวนผู้ลงรายชื่อสัก 5 ล้าน แล้วไม่เกิดผลอะไรขึ้น จะทำอย่างไรกันต่อไป" และยิ่งกลายเป็นคำถามดังขึ้นทุกที ตามเวทีปราศรัยของคนเสื้อแดงตามภูมิภาค
แต่สำหรับฝ่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตยแล้ว เป้าหมายของการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงหนนี้ ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป อาการลุกลี้ลุกลน หรือแทบจะเรียกได้ว่าพล่านนั้น อยู่ที่ปริมาณของประชาชนที่เดินเปิดหน้าออกมาแสดงเจตนารมณ์ ด้วยการให้ทั้งชื่อและรายละเอียดระบุบุคคล ในการสะท้อนความคับข้องใจกับกระบวนการยุติธรรมชนิด 2 มาตรฐาน
หากย้อนกลับไปครั้งการลงประชามติ "รัด-ทำ-มะ-นูน-2550" ที่ผลออกมาว่า มีผู้เห็นชอบ 14,727,407 คน และไม่เห็นชอบ 10,747,310 คน ก็เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า แม้ในจำนวนผู้เห็นชอบเอง ก็ลงคะแนนไปโดยจุดยืนที่เชื่อถือการโฆษณาชวนเชื่อจากฝ่ายสนับสนุนการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ว่า รับไปก่อนแล้วค่อยแก้กันทีหลัง
นั่นหมาย ความว่า เป็นไปได้อย่างยิ่งที่ประเทศนี้ ประชาชนที่ใส่ใจกับปัญหาทิศทางและการพัฒนาการของชาติบ้านเมืองที่มีผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ของตนนั้น มีจำนวนถึงครึ่งต่อครื่งที่แสดงเจตจำนงต่อต้านระบอบเผด็จการและผลิตผลของระบอบเผด็จการ ซึ่งก็คือกฎหมายสูงสุดของระบอบการปกครอง
คำถามคือ ก็ในเมื่อฝ่ายประชาธิปไตยเชื่อมั่นในพลังประชาชนที่เปี่ยมล้นไปด้วยจิตใจกล้าสู้กล้าชนะ เริ่มจากกลุ่มคนจำนวนหยิบมือเดียวแสดงตัวคัดค้านการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และต่อมาขยายจำนวนเพิ่มขึ้น แม้กระทั่งหลัง "สงกรานต์เลือด 2552" ซึ่งยังอยู่ภายใต้สถานการณ์ "กฎอัยการศึก" หรือ "สถานการณ์ฉุกเฉิน" นั้นหมายความว่า ประชาชนได้ยกระดับความเข้าใจและจิตสำนึกต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยยิ่งกว่าครั้งใดๆ ในประวัติศาสตร์
เป็นไปได้ไหม ที่พลังฝ่ายประชาธิปไตยจะร่วมกันอีกครั้ง ระดมสรรพกำลังแสดงเจตจำนงในฐานะเสรีชน ขับเคลื่อนให้เกิดการยกระดับพัฒนาการทางการเมืองของปิตุภูมิไปสู่ความมีอารยะ ด้วยการสร้างประชาธิปไตยสมบูรณ์ หลังจากถูกแย่งยึด บิดเบือนไปโดยฝ่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตย อันประกอบไปด้วยกลุ่ม "อำมาตย์-อภิชน-ขุนศึกฟาสซิสต์" นับจากวินาทีแรกของการทำรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 ที่นำโดยขุนศึก ผิน ชุณหะวัน
สร้างขบวนแถวผู้รักประชาธิปไตยและรักความเป็นธรรม ออกมาสำแดงกำลัง รณรงค์ไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของอำนาจอธิปไตยให้เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ ด้วยการผลักดันให้สร้างรัฐธรรมนูญประชาชน ที่ประชาชนสามารถ "เลือกผู้นำฝ่ายบริหาร" หรือ "นายกรัฐมนตรี" ด้วยการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เช่นนานาอารยะประเทศ และใช้การลงคะแนนเสียงในกระบวนการยุติธรรมด้วยระบบ "ลูกขุน" ที่อำนาจในการพิพากษาเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่ตกอยู่ใน "กำมือ" ของบุคคลใดบุคคลหนึ่งแต่ผู้เดียว
ถ้าเราไม่ตั้งต้นริเริ่มออกแบบสังคมที่พึงปรารถนาสำหรับอนุชนที่เป็นลูกหลานของเรา ให้พวกเขาเกิดและเติบโตขึ้นมาในสังคมอารยะ อย่างไม่ต้องเผชิญกับ "การปกครองแบบเผด็จอำนาจ" ที่กดหัว-ปิดปาก จนเสรีชนไม่อาจมีชีวิตเยี่ยงเสรีชนได้อย่างที่เห็นและเป็นอยู่
จะมีประโยชน์อะไรกับการเรียกขานปิตุภูมิของเราว่า "ไทย" ตามเสียงพ้องของที่มาของชนชาติบรรพบุรุษที่เรียกตนเองว่า "ไท".
ด้วยภราดรภาพ
โพสต์ ครั้งแรก 5 สิงหาคม 2009, 01:55:38
http://www.newskythailand.us/board/index.php?topic=6948.msg22212#msg22212
ปรับ ใหม่หลังถูกบล็อก
http://www.newskythailand.info/board/index.php?topic=6948.msg22212#msg22212
ทันทีที่การประกาศจำนวนประชาชนที่ร่วมลงชื่อใน "ฎีการ้องทุกข์" ว่าสูงถึง 5,363,429 คน ความเคลื่อนไหวจากปีกปฏิปักษ์ประชาธิปไตย ก็ดาหน้ากันออกมาแสดงอาการร้อนรุ่มทุรนทุรายไปตามๆกัน กระทั่งล่าสุดจากข่าว มติชนออนไลน์ ที่พาดหัวแบบจุดพลุว่า จม.เปิด ผนึก อ.จุฬาฯกว่า1500 คนค้านฎีกาอภัยโทษ "แม้ว" ชี้อันตราย กดดัน-กระทบศรัทธาสถาบัน หากในเนื้อหาข่าวกลับโอละพ่อ เป็น "จนกระทั่งเย็นวันที่ 4 สิงหาคม มีคณาจารย์จุฬาฯลงชื่อแล้วกว่า 300 คนและบุคคลากรรวมกว่า 1,500 คน และคาดว่า ในวันที่ 5 สิงหาคมซึ่งมีการประชุมคณบดีจะนำจดหมายเปิดผนึกดังกล่าวให้คณบดีที่เห็นด้วยลงนาม"
ตลอดระยะเวลาประมาณ 1 เดือน นับจากการประกาศในที่ชุมนุมกลางพายุฝน ณ เวทีการชุมนุมของคนเสื้อแดงท้องสนามหลวง เมื่อวันนี่ 27 มิถุนายน จนช่วงเวลาก่อนและหลังวันดี-เดย์ เพื่อนับจำนวนผู้ร่วมลงรายชื่อ ปฏิกิริยาแทบจะในลักษณะรายวันจากผู้คนทุกๆฝ่าย ล้วนพุ่งเป้าไปที่ "จุดมุ่งหมาย" ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังการเคลื่อนไหวรอบนี้ของ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน
ฝ่ายรัฐ อาศัยเครื่องมือประชาสัมพันธ์สำเร็จรูป นั่นคือฟรีทีวีทั้งระบบ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถานี "หอยม่วง" ที่เกิดจากภาษีอากรของประชาชนล้วนๆ พุ่งเป้าโจมตีไปที่ความ "ควร-ไม่ควร" "ทำได้-ไม่ได้" อยู่แทบจะตลอดเวลา ทั้งโหมประโคมเภทภัยทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นแก่ประชาชนที่ร่วมลงชื่อโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ พร้อมกับความพยายามที่จะรุกกลับด้วยการใช้เล่ห์เพทุบายต่างๆนานา ให้ประชาชนถอนรายชื่อ "อย่างเป็นทางการ"
มีสภาวะน่าจับตามองในช่วงเวลาท้ายๆ ก่อนวันที่ 31 กรกฎาคม ปรากฏอยู่ตามเว็บบอร์ดและห้องสนทนาทุกรูปแบบในโลกไซเบอร์ของพลังประชาธิปไตย คือคำถามระหว่างกัน ว่า "ถ้าได้จำนวนผู้ลงรายชื่อสัก 5 ล้าน แล้วไม่เกิดผลอะไรขึ้น จะทำอย่างไรกันต่อไป" และยิ่งกลายเป็นคำถามดังขึ้นทุกที ตามเวทีปราศรัยของคนเสื้อแดงตามภูมิภาค
แต่สำหรับฝ่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตยแล้ว เป้าหมายของการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงหนนี้ ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป อาการลุกลี้ลุกลน หรือแทบจะเรียกได้ว่าพล่านนั้น อยู่ที่ปริมาณของประชาชนที่เดินเปิดหน้าออกมาแสดงเจตนารมณ์ ด้วยการให้ทั้งชื่อและรายละเอียดระบุบุคคล ในการสะท้อนความคับข้องใจกับกระบวนการยุติธรรมชนิด 2 มาตรฐาน
หากย้อนกลับไปครั้งการลงประชามติ "รัด-ทำ-มะ-นูน-2550" ที่ผลออกมาว่า มีผู้เห็นชอบ 14,727,407 คน และไม่เห็นชอบ 10,747,310 คน ก็เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า แม้ในจำนวนผู้เห็นชอบเอง ก็ลงคะแนนไปโดยจุดยืนที่เชื่อถือการโฆษณาชวนเชื่อจากฝ่ายสนับสนุนการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ว่า รับไปก่อนแล้วค่อยแก้กันทีหลัง
นั่นหมาย ความว่า เป็นไปได้อย่างยิ่งที่ประเทศนี้ ประชาชนที่ใส่ใจกับปัญหาทิศทางและการพัฒนาการของชาติบ้านเมืองที่มีผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ของตนนั้น มีจำนวนถึงครึ่งต่อครื่งที่แสดงเจตจำนงต่อต้านระบอบเผด็จการและผลิตผลของระบอบเผด็จการ ซึ่งก็คือกฎหมายสูงสุดของระบอบการปกครอง
คำถามคือ ก็ในเมื่อฝ่ายประชาธิปไตยเชื่อมั่นในพลังประชาชนที่เปี่ยมล้นไปด้วยจิตใจกล้าสู้กล้าชนะ เริ่มจากกลุ่มคนจำนวนหยิบมือเดียวแสดงตัวคัดค้านการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และต่อมาขยายจำนวนเพิ่มขึ้น แม้กระทั่งหลัง "สงกรานต์เลือด 2552" ซึ่งยังอยู่ภายใต้สถานการณ์ "กฎอัยการศึก" หรือ "สถานการณ์ฉุกเฉิน" นั้นหมายความว่า ประชาชนได้ยกระดับความเข้าใจและจิตสำนึกต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยยิ่งกว่าครั้งใดๆ ในประวัติศาสตร์
เป็นไปได้ไหม ที่พลังฝ่ายประชาธิปไตยจะร่วมกันอีกครั้ง ระดมสรรพกำลังแสดงเจตจำนงในฐานะเสรีชน ขับเคลื่อนให้เกิดการยกระดับพัฒนาการทางการเมืองของปิตุภูมิไปสู่ความมีอารยะ ด้วยการสร้างประชาธิปไตยสมบูรณ์ หลังจากถูกแย่งยึด บิดเบือนไปโดยฝ่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตย อันประกอบไปด้วยกลุ่ม "อำมาตย์-อภิชน-ขุนศึกฟาสซิสต์" นับจากวินาทีแรกของการทำรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 ที่นำโดยขุนศึก ผิน ชุณหะวัน
สร้างขบวนแถวผู้รักประชาธิปไตยและรักความเป็นธรรม ออกมาสำแดงกำลัง รณรงค์ไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของอำนาจอธิปไตยให้เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ ด้วยการผลักดันให้สร้างรัฐธรรมนูญประชาชน ที่ประชาชนสามารถ "เลือกผู้นำฝ่ายบริหาร" หรือ "นายกรัฐมนตรี" ด้วยการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เช่นนานาอารยะประเทศ และใช้การลงคะแนนเสียงในกระบวนการยุติธรรมด้วยระบบ "ลูกขุน" ที่อำนาจในการพิพากษาเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่ตกอยู่ใน "กำมือ" ของบุคคลใดบุคคลหนึ่งแต่ผู้เดียว
ถ้าเราไม่ตั้งต้นริเริ่มออกแบบสังคมที่พึงปรารถนาสำหรับอนุชนที่เป็นลูกหลานของเรา ให้พวกเขาเกิดและเติบโตขึ้นมาในสังคมอารยะ อย่างไม่ต้องเผชิญกับ "การปกครองแบบเผด็จอำนาจ" ที่กดหัว-ปิดปาก จนเสรีชนไม่อาจมีชีวิตเยี่ยงเสรีชนได้อย่างที่เห็นและเป็นอยู่
จะมีประโยชน์อะไรกับการเรียกขานปิตุภูมิของเราว่า "ไทย" ตามเสียงพ้องของที่มาของชนชาติบรรพบุรุษที่เรียกตนเองว่า "ไท".
ด้วยภราดรภาพ
โพสต์ ครั้งแรก 5 สิงหาคม 2009, 01:55:38
http://www.newskythailand.us/board/index.php?topic=6948.msg22212#msg22212
ปรับ ใหม่หลังถูกบล็อก
http://www.newskythailand.info/board/index.php?topic=6948.msg22212#msg22212