หนึ่ง บทเกริ่น
หวนรำลึกคืนวัน "กลางฝนกรรชากกรากเชี่ยว"
ช่วงเดือนตุลาคม พุทธศักราช 2531 เผอิญผมมีโอกาสดูแลส่วนวรรณกรรมของนิตยสารการเมืองรายสัปดาห์ (สู่อนาคต) ฉบับที่นิทานเรื่องนี้ลงตีพิมพ์เป็นครั้งแรก จำได้ว่าห้วงระยะนั้น "คน เดือนตุลา" ที่ออกหน้าออกตาในวันนี้ ยังอยู่กันอย่างกึ่งดิบ ดูเหมือนว่าการนำช่วงชีวิตของการมีส่วนร่วมมาอ้างเอาเกียรติภูมินั้น ยังเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ และ/หรือไม่น่าจะทำ ผมเองจึงอาศัยอำนาจของบรรณาธิการส่วนหลังจัดรายการประกวดบทกวี "รำลึกสิบห้าปีสิบสี่ตุลา" และเขียน "ตำนานเด็กดื้อ" นี้ขึ้น ด้วยความรู้สึกที่ยังคงตามติดตัวมาตราบวันนี้ถึง 30 ปีแล้ว
ความรู้สึกอย่างนั้น แม้มาถึงวันนี้ ยังส่งให้ผมปฏิเสธความเป็น "ผู้หลงผิด" หรือ "ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย" ความรู้สึกอย่างนั้น ที่ยังคงทำให้ผมคิดถึง เชียง บัณฑราภิวัฒน์ ผู้ซึ่งบอกเล่ากันมาว่ายิงตัวตายในฐานที่มั่นจังหวัดตาก ยังทำให้ผมคิดถึง ดำรง คำนาคแก้ว หนึ่งในกลุ่มฟันเฟืองพิทักษ์ขบวนนักศึกษาประชาชนช่วงตุลาคม 2516 นั้น และร่วมรับบริจาคเงินช่วยเหลือจากประชาชนที่ผ่านมือเราวันหนึ่งแต่ละหน่วยนับแสนบาท ที่แม้ในเวลาต่อมาจะถูกกีดกันออกไป (จะด้วยเหตุผลใดก็ตามที) กระทั่งยืนอยู่คนละฝ่ายกับผม...
นอกเหนือจากนั้นผมยังคิดไปถึง ลุงลำยวง ซ่องสกุล ที่อำเภอเดิมบางนางบวช น้าไช่ วังตะกู จากพิษณุโลก ประสิทธิ์ ไชโย ผู้นำกรรมกรจากอ้อมน้อย คิดถึงคนอย่าง วรเชษฐ์ พูนพิทยานันท์ (ถ้าจำไม่ผิด) ผู้ล้มละลายทางความคิดไปโดยสิ้นเชิง และรวมตลอดไปจนถึงผู้กล้านิรนามอีกจำนวนนับไม่ถ้วนที่โชคดีกว่าผม ด้วยละจากโลกนี้ไปพร้อมกับความใฝ่ฝันแสนงามซึ่งยากจะหวนคืนสู่ความคิดคำนึงอีกต่อไปหลายปีภายหลัง "เหตุการณ์เดือนตุลาสองหน"
โดยอาชีพคนหนังสือ ผมสัมผัสงานเขียนในพากย์ไทยหลายเล่มโดย เฮอร์มานน์ เฮสเส (Hermann Hesse) หนึ่งในจำนวนนั้นคือ "ท่องตะวันออก" (อังกฤษ "Journey to the East" และเยอรมัน "Die Morgenlandfahrt") เฮสเสเขียนถึง "สันนิบาตท่องตะวันออก" ที่พันธกิจศักดิ์สิทธิ์ของสมาชิกมีเพียงประการเดียว คือ มุ่งไปสู่ตะวันออก มิไยว่าสมาชิกอื่นจะยังดำรงอยู่หรือไม่ กระทั่งตัวสันนิบาตเองจะยังอยู่หรือล่มสลายไปแล้ว
เฮสเสประกาศอย่าง ชัดแจ้งว่า "สมาชิกสันนิบาตท่องตะวันออกนั้น ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเคยเป็น มีแต่เป็นหรือไม่เป็น เพียงสองทางเท่านั้น"
สำหรับผมแล้ว "คนเดือนตุลา" นั้นต้องมีวิญญาณของคนเดือนตุลาตลอดไป วิญญาณที่สืบช่วงความรู้สึกของบทกวีที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาล "เราชุบด้วยใด" ของ "อุชเชนี (ประคิณ ชุมสาย ณ อยุธยา)" สำหรับคนหนุ่มสาวที่ว่า
ฉันใคร่เห็นเธอก้าวไป
กลางไพรเกลื่อนพฤกษ์ลึกหนา
กลางแดดแผดเผามรรคา
กลางป่าปริปรวนครวญครืน
กลางน้ำกรรชากกรากเชี่ยว
กลางเกลียวฝนกราดฟาดฝืน
กลางโคลนคลุกครูดดูดกลืน
กลางคืนครอบคิดมิดมูล
ก้าวไปแม้ไฟล่มโลก
ก้าวไปแม้โชคดับสูญ
ก้าวไปแม้ไร้คนทูน
ก้าวไปแม้พูน คนชัง...
รวมทั้งกวีนิพนธ์ของหลู่ซิ่น ที่แปลโดยจิตร ภูมิศกดิ์
แม้นคนพันบัญชาชี้หน้าเย้ย
จงขวางคิ้วเย็นชาเฉยเถิดสหาย
ต่อผองเหล่านวชนเกิดกร่นราย
จงค้อมกายก้มหัวเป็นงัวงาน
นั่นแหละ วันเวลาอย่างนั้นจึงอุบัติขึ้นมาเป็นเหตุในประเทศนี้.
นิรันดร์ สุขวัจน์
ตุลาคม 2546
**********************************************************************
สอง ตำนาน
นิทานพิสดารแห่งราศีตุลย์
ครั้งหนึ่งยังไม่นานเท่าใดนัก แต่ก็เพียงพอที่ผู้คนจะจดจำเรื่องราวเหล่านี้เกือบไม่ได้แล้ว แม้กระทั่งหลายคนเคยโลดแล่นมีชีวิตชีวาเป็นส่วนหนึ่งในตำนานนี้ ยังพลอยเข้าใจไปว่าเรื่องราวแปลกประหลาดทำนองนี้ไม่เคยมีอยู่จริง มิหนำซ้ำบางคนถึงขนาดทำทีเป็นว่าหาได้เกิดเรื่องราวนี้ขึ้น ณ จุดใดจุดหนึ่งในชีวิตของเขาไม่
ครั้งนั้น ในดินแดนภาคใต้ของแผ่นดินซึ่งปรากฏตัวเป็นผืนเดียวกันโดยตลอดอันกว้างใหญ่ที่สุดบนดาวเคราะห์ที่เรียกกันว่าโลกราหู ยังมีสวนป่าแห่งหนึ่งอุดมด้วยรุกชาติและธัญญาหารนานาพันธุ์ เป็นที่อาศัยของสรรพสัตว์น้อยใหญ่และผู้คนเผ่าพันธุ์หนึ่ง สวนป่าแห่งนี้จะดำรงอยู่บนพื้นพิภพมาแต่สมัยใดไม่มีใครรู้แน่ชัด เพียงร่ำลือสืบทอดกันมาว่าถึงวันที่ตำนานพิสดารเรื่องนี้อุบัติขึ้น สวนป่าแห่งนี้มีอายุร่วม 7 ศตวรรษแล้ว
ใน 700 ปีนั้น มีผู้คนเกิดมาและตายไปนับจำนวนไม่ถ้วนหลายร้อยชั่วคน มีเหตุการณ์หลายเหตุการณ์เกิดขึ้นและดับสูญไปตามตามธรรมดาโลก แต่กระนั้น เกือบจะกล่าวได้ว่าผู้คนส่วนใหญ่พอใจและยอมรับวิถีทางแห่งสวนป่าแห่งนั้นตามที่เป็นมาช้านานโดยดุษณี
กาลล่วงเลยมาจนถึงสมัยที่เป็นจุดกำเนิดของตำนานนี้ บังเอิญมีเด็กๆกลุ่มหนึ่ง ค่อนข้างจะมีนิสัยดื้อรั้น ไม่ค่อยอยู่ในร่องในรอยเชื่อฟังคำสอนของผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้เฒ่าผู้แก่ ทั้งยังมักซุกซน เล่นหัวกันแปลกๆ เป็นที่ขวางหูขวางตาเหล่าชนผู้เกิดก่อนอยู่เป็นนิจศีล เด็กกลุ่มนี้มีทั้งเด็กชายและเด็กหญิง ชอบที่จะแยกตัวออกจากผู้คนทั้งหลาย เล่นหัวสนุกสนานแต่ในหมู่เฉพาะพวกตน
วันหนึ่ง ขณะที่เด็กๆกลุ่มนี้กำลังเล่นการละเล่นแบบเด็กๆที่พวกเขาคิดค้นกันขึ้นมาเองอยู่เช่นเคย เรื่องราวประหลาดพิสดารของเราอุบัติขึ้น เมื่อเด็กคนหนึ่งวิ่งเข้าไปชนโครมเข้ากับอะไรบางอย่างเข้า จนถึงกระเด็นหงายท้องร้องลั่นให้เพื่อนช่วย เมื่อเด็กอื่นๆมาถึงที่นั้น เห็นแต่เพื่อนนอนจุก หน้าผากบวมปูดอยู่กลางลานโล่งหย่อมหนึ่ง ไม่มีใครเลยในกลุ่มจะเชื่อว่าเด็กคนนั้นจะวิ่งไปชนอะไรแถวนั้นเข้าได้ มิไยว่าเขาจะพูดชี้แจงเป็นตุเป็นตะอย่างไร จนเด็กอีกคนซึ่งอยู่ในกลุ่มที่ยืนล้อมร่างของเขาอยู่ ขยับถอยหน้าถอยหลัง ปากก็ร่วมวงวิพากษ์วิจารณ์ความแปลกประหลาดร่วมกับเพื่อนๆ เกิดถอยหลังกระทบบางอย่างเข้า ความสนใจของเด็กทุกคนจึงหันมองหาความว่างเปล่าที่มีตัวตนตรงนั้น เด็กๆค่อยๆเอื้อมมือไปสัมผัสความว่างเปล่าเบื้องหน้าด้วยความประหลาดใจระคนอยากรู้อยากเห็น อันที่จริงถ้าเป็นเด็กปกติอื่นๆ คงหวาดกลัวสิ่งที่ไม่รู้ได้นี้ และคงพากันหันหลังกลับไปเล่าให้พวกผู้เฒ่าผู้แก่ฟัง เรื่องราวต่อจากนั้นก็คงไม่เกิดขึ้นและเป็นไปตามที่ปรากฏในตำนานนี้เสียแต่ตอนนั้นแล้ว
แต่ก็อย่างที่บอกไว้แต่แรก เด็กดื้อพวกนี้มีหรือจะหวาดกลัวกับเรื่องทำนองนี้ กลับยิ่งเร้าความกระหายใคร่รู้ของพวกเขาเข้าไปอีก หลังจากลูบคลำสัมผัสกันอยู่พักใหญ่ พวกเขาก็พบว่าที่ตรงนั้นมีอะไรบางอย่างอยู่ จริงๆ แล้วเมื่อค้นคว้าต่อไป อะไรที่ว่านั้นก็หาใช่บางอย่างเล็กน้อยเสียแล้ว ดูเหมือนมันจะแผ่ขยายกว้างไกลไปไม่รู้จบ ทางด้านสูงนั้นเล่า ทั้งที่พยายามต่อตัวกันขึ้นไปถึง 3-4 ช่วงตัว ก็ยังไม่ถึงขอบบนสุดของมันอยู่นั่นเอง
ทั้งกลุ่มสรุปลงความเห็นตามประสาเด็กๆ หลังจากถกเถียงกันหน้าดำหน้าแดงสุ้มเสียงแหบแห้ง ว่าอะไรที่พวกเขาและเธอเจอเข้าโดยบังเอิญนี้ ต้องเป็นกำแพงอย่างแน่นอน เป็นกำแพงที่มองไม่เห็น คำถามที่ผุดขึ้นในใจเด็กทุกคนก็คือ มีอะไรอยู่เบื้องหลังกำแพงนั้นหรือ
ไม่ช้าไม่นาน ข่าวเล่าลือเกี่ยวกับการค้นพบสิ่งมหัศจรรย์ของพวกเด็กดื้อ ก็แพร่กระจายไปทุกซอกทุกมุมของสวนป่าแห่งนี้ ทีแรกเฉพาะในหมู่เด็กๆ ที่สุดก็ถึงหูบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้เฒ่าผู้แก่จนได้
เช่นเดียวกับข่าวลือในสิ่งที่รู้ไม่ได้หรือยังไม่รู้ทั้งหลายนั่นแหละ ความเย้ายวนใจในเรื่องราวที่อยู่พ้นกำแพงมหัศจรรย์นั้น กลายเป็นหัวข้อพูดคุยประจำวันของผู้คนทั้งสวนป่าไปโดยปริยาย ไม่ว่าหัวหงอกหัวดำ ความสนใจของผู้คนรวมศูนย์ไปที่โลกอันรื่นรมย์ สวยงาม ดินแดนที่เด็กทั้งหลายจะมีอิสรเสรี เป็นเสมือนโลกในความฝันอันทุกรูปทุกนามในนั้นดำรงชีวิตอยู่อย่างปราศจากความวิตกใดๆ ความระทมทุกข์ทรมานที่เป็นซีกหนึ่งของชีวิตในฟากนี้ของกำแพง กลายเป็นสิ่งแปลกประหลาดสำหรับผู้คนอีกฟากหนึ่ง สรรพชีวิต ทั้งคน สัตว์ และพืช อยู่ร่วมกันอย่างสุขสันติ รักใคร่ปรองดองซึ่งกันและกัน ต่างพึ่งพิงและเอื้อประโยชน์แก่กันอย่างพิสดารจนยากแก่การเข้าใจ
ผู้คนเริ่มหันมาพิจารณาวิถีชีวิตเก่าก่อนซึ่งดำรงอยู่ในสวนป่าแห่งนี้มาแต่ดึกดำบรรพ์ ช่างตรงกันข้ามกับวิถีทางที่ร่ำลือถึงในดินแดนที่อยู่อีกฟากหนึ่งของกำแพงมหัศจรรย์เสียนี่กระไร โดยเฉพาะในหมู่เด็กๆ โลกจินตนาการของพวกเขาดูจะรับรู้เรื่องราวแปลกประหลาดนี้ได้รวดเร็วยิ่งนัก ทีละน้อยทีละน้อย บรรดาผู้เฒ่าผู้แก่แห่งสวนป่าเริ่มตระหนักถึงแรงขับมหาศาลที่กำลังชักนำพวกเด็กๆไปสู่ความใฝ่ฝันในชีวิตเบื้องหลังกำแพง พ่อแม่จำนวนไม่น้อยมองเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวลูกหลานของตน ที่ชักจะเลิกเล่นหัวอย่างไร้สาระตามประสาเด็กกันแล้ว เด็กๆมีการละเล่นอย่างใหม่ สะท้อนความรู้สึกนึกคิดที่มีต่อโลกนิมิตของตน
หลายคนไม่ไว้ใจพฤติกรรมของเด็กๆ หลายคนคิดเลยเถิดไปว่าพวกเด็กๆกำลังทำให้แบบแผนชีวิตของสวนป่าง่อนแง่นลง จากการเฝ้ามองอยู่ห่างๆในตอนแรก พวกผู้เฒ่าผู้แก่ก็ค่อยยื่นมือเข้ามาในปัญหานี้ โดยหารู้ไม่ว่ายิ่งขัดขวางแทรกแซง ยิ่งเท่ากับเป็นการยั่วยุ ในชั้นต้น คณะผู้เฒ่าประกาศยืนยันว่ากำแพงที่ร่ำลือกันนั้นหาได้มีอยู่จริงไม่ เป็นเรื่องของเด็กนอกคอกสติไม่ดีไม่กี่คนกุกันขึ้นมาเอง สร้างความปั่นป่วนให้กับดินแดนสวนป่านี้ แต่ความพยายามของพวกผู้ใหญ่ไม่เป็นผล ด้วยว่าพวกเด็กๆพิสูจน์กันได้เสียแล้ว ว่ามีกำแพงที่มองไม่เห็นล้อมรอบสวนป่านี้ไว้ทุกด้าน
ขั้นต่อมา คณะผู้เฒ่าจึงเปลี่ยนมาเป็นการชี้แจงว่าโลกเบื้องหลังกำแพงมหัศจรรย์ (ตามที่พวกเด็กเรียก) ไม่ได้สวยงามไปกว่าโลกด้านนี้เลย มิหนำซ้ำดูจะเลวร้ายยิ่งไปกว่ากันอีกด้วย เป็นดินแดนที่มีฝูงยักษ์สุดโหดหินทมิฬชาติคอยจับผู้คนกินเป็นภักษาหาร พวกผู้ใหญ่ยังช่วยกันสำทับต่อไปอีกว่า ใครก็ตามที่ปล่อยข่าวโลกเบื้องหลังกำแพงดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ คนนั้นคือสมุนบริวารของยักษ์ มีหน้าที่ตะล่อมเหยื่อไปป้อนให้พวกมัน
กระนั้น เด็กๆส่วนหนึ่งก็โตเกินกว่าจะงมงายไปกับนิทานเรื่องยักษ์ใจร้ายอีกต่อไปแล้ว ในที่สุด ท่ามกลางบรรยากาศคุกรุ่นของความขัดแย้งระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่และคณะผู้เฒ่า เด็กจำนวนหนึ่งจึงตัดสินใจทลายกำแพงลง เพื่อจะพิสูจน์ว่าแท้ที่จริงแล้ว ฟากโน้นเป็นอย่างไรกันแน่
ว่ากันว่าในช่วง 7 วัน 7 คืน ที่พวกเด็กๆพยายามเจาะทลายกำแพงให้ทะลุทะลวงแตกเป็นช่องอยู่นั้น เป็นช่วงเวลาที่สวนป่าทั้งสวนสับสนอลหม่านไปหมด เด็กหลายสิบหลายร้อยคนสาบสูญไปเพราะการนั้น ท่ามกลางการพยายามขัดขวางอย่างรุนแรงแข็งขันที่นำโดยคณะผู้เฒ่า แต่แล้วด้วยความร่วมมือเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของเด็กทุกคนและผู้ใหญ่บางคน ที่หันมาคล้อยตามสนับสนุน กำแพงมหัศจรรย์ที่มองไม่เห็นก็ถูกเจาะเป็นช่องจนได้
เป็นครั้งแรกที่ผู้เฒ่าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้พวกเด็กๆ ความงุนงงสับสนและความระส่ำระสายครอบคลุมชีวิตของพวกผู้ใหญ่อยู่ระยะหนึ่ง พวกเด็กๆกลายเป็นวีรบุรุษแห่งสวนป่า ผู้คนส่วนใหญ่ชื่นชมพวกเขาอย่างออกหน้าออกตา แต่เด็กๆก็คงเป็นเด็กอยู่นั่นเอง แม้จะสัตย์ซื่อบริสุทธิ์เพียงใด ก็อดหลงใหลได้ปลื้มในชัยชนะของตนครั้งนี้ไม่ได้ พวกเขาไม่รู้หรอกว่า พวกผู้ใหญ่มีหรือจะปล่อยให้ความพ่ายแพ้ตกอยู่แก่พวกตนนานนัก คณะผู้เฒ่าและพวกผู้ใหญ่จัดแจงซ่อมแซมรอยโหว่นั้นอย่างประณีตอีกครั้งหนึ่ง เป็นกำแพงที่มองไม่เห็นเช่นเดิม หลังจากนั้นก็ทำทีว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกผู้ใหญ่เข้าใจดีว่าเด็กๆจะต้องเติบโตขึ้น รับรู้และเข้าใจอะไรๆแบบ ผู้ใหญ่มากขึ้น และเมื่อถึงวันนั้น พวกเขาย่อมคิดได้อย่างคนที่เติบใหญ่เต็มที่แล้วจะพึงคิด ซึ่งก็คือวิธีและความคิดแบบที่คณะผู้เฒ่าพอใจนั่นเอง
"เฮอะ" พวกผู้ใหญ่แอบแค่นเสียงในใจอย่างแค้นเคือง
"ชีวิตหลังกำแพงรึ โลกที่สวยงามรึ ฝันไปน่ะไม่ว่า แล้วสักวันมันต้องสำนึก ไอ้พวกเด็กดื้อ แกจะต้องคลานกลับมาซบแทบเท้าข้า" พวกผู้เฒ่าผู้แก่พากันคิดอย่างนี้
เวลาผ่านไป 10 ปี นับจากเหตุการณ์ทลายกำแพง ที่สุดก็ถึงทีของพวกผู้ใหญ่เข้าจริงๆ เด็กๆหลายคนรู้สึกผิดหวังกับโลกฝันหลังกำแพง ซมซานกลับมา บ้างก็คลานอย่างสำนึกผิดไปสารภาพกับผู้ใหญ่ ขอกลับเนื้อกลับตัวในสิ่งที่ได้ทำไปแล้ว พวกประดานี้ได้รับการต้อนรับอย่างดี แม้จะมีบางคนถูกทำโทษ เป็นต้นว่าตีมือบ้าง ตีก้นบ้าง ก็ทำเพียงพอเป็นพิธี แล้วเมื่อเห็นว่าเลิกดื้อเด็ดขาดแล้ว พวกนี้ก็ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมวงผู้ใหญ่ได้ ด้วยว่าส่วนหนึ่งก็เพราะพวกเขาเริ่มคิดอย่างผู้ใหญ่เป็นแล้วนั่นเอง
และก็ตามประสาเด็กที่ยังติดตัวอยู่ในตัวทุกคน เด็กๆหลายต่อหลายคนลงทุนประจบเอาใจผู้ใหญ่เป็นพิเศษ ถึงขนาดกล่าวร้ายการค้นพบกำแพงเมื่อครั้งกระโน้นอย่างสาดเสียเทเสีย เต็มปากเต็มคำ ยังมีบางคนอาสาสมัครอย่างเอาการเอางาน ลงมือสร้างความแข็งแกร่งให้กำแพงนั้นยิ่งขึ้นไปอีก คิดค้นพัฒนาการซ่อนพรางการดำรงอยู่ของกำแพงได้แนบเนียนยิ่งขึ้น พบเห็นได้ยากเย็นเข้าไปอีก
พวกนี้ได้รับรางวัลกันถ้วนหน้า มาถึงตอนนี้หน้าที่หนึ่งของใครก็ตามที่ได้รับอนุญาตเข้าร่วมวงไพบูลย์ในสังคมผู้ใหญ่ ก็คือ กลบเกลื่อนเหตุการณ์นอกคอกครั้งนั้นสุดกำลัง หรือไม่ก็ทำให้เรื่องราวของมันผิดไปจากความเป็นจริง ทำได้แนบเนียนเท่าไรยิ่งเป็นการดีทั้งแก่พวกเขาเอง และทั้งแก่ความเป็นสวนป่าที่สงบสุข (ตามสายตาของผู้ใหญ่)
แต่ยังหรอก ตำนานของเราไม่ได้จบอย่างมีความสุขทำนองนั้น ไม่ใช่เด็กทุกคนที่อยากเป็นส่วนหนึ่งของผู้ใหญ่ผู้พิทักษ์กำแพง แม้เด็กพวกหลังนี้จะพบว่าอีกฟากหนึ่งของกำแพงก็ไม่ได้มีสภาพดีไปกว่าฟากนี้เท่าใดนัก อะไรที่ฟากนี้มี ฟากโน้นก็มี ฟากนี้มีผู้หลักผู้ใหญ่ผู้เฒ่าผู้แก่ ฟากโน้นก็มีเช่นกัน และความพยายามที่ไม่ผิดไปจากกันไกลเลย ในอันที่จะสงวนกำแพงนั้นไว้อย่างดีที่สุด จนถึงขั้นทำได้ทุกอย่างเพื่อให้กำแพงคงอยู่
สำหรับเด็กพวกหลังนี้ สิ่งที่แฝงอยู่เบื้องหลังการทลายกำแพงคราวนั้น ถือว่าเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่กว่าการค้นพบกำแพงโดยบังเอิญอย่างชนิดเทียบกันไม่ได้ พวกเขาค้นพบจิตใจในขณะที่ร่วมไม้ร่วมมือกันทลายกำแพงมหัศจรรย์ ที่มองไม่เห็น เป็นจิตใจวัยเยาว์แห่งมนุษยชาติ ที่ด้านหนึ่งประกอบด้วยศรัทธาในความดีงามสูงสุด และอีกด้านหนึ่งเป็นความมุ่งมั่นอันบริสุทธิ์ต่อความดีงามนั้น พวกเขาตระหนักท่ามกลางวันเวลาของวิถีชีวิตที่พลิกผันใน 10 ปีที่ผ่านไป ว่าจิตใจเช่นนั้นนับวันสูญหายไปในเส้นทางก้าวสู่ความเป็นผู้ใหญ่ทีละน้อย
เด็กพวกหลังรู้ในที่สุดว่าเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็นเสียยิ่งกว่าจะให้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก ที่จะให้ผู้ใหญ่สักคนอุทิศตัวแก่ศรัทธาอย่างนั้นโดยตลอดรอดฝั่งได้ จำเป็นที่คนเราจะต้องจดจำรักษาวิญญาณของจิตใจแห่งเยาว์วัยเอาไว้ ด้วยการตระหนักรู้ถึงความสำคัญของมัน ด้วยตัวของตัวแต่ละคนเอง เหนือสิ่งอื่นใด พวกเด็กๆกลุ่มที่เล็กกว่าเล็กนี้ เกิดความสำนึกลึกซึ้งลงไปอีกระดับหนึ่งว่าสิ่งที่พวกตนและเด็กทั้งหลายจะต้องทำ ไม่เพียงแค่ฝ่าจากฟากหนึ่งไปสู่อีกฟากหนึ่งของกำแพงเท่านั้น ต่อเมื่อทุบทำลายทุกกำแพงที่ดำรงอยู่ในโลก ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นลงให้หมดสิ้นแล้วต่างหาก โลกนิมิตที่พวกเขาเคยใฝ่ฝันถึงจนโถมตัวเข้าแลกเพื่อให้ได้มา จึงจะปรากฏเป็นจริงขึ้นมาได้
แต่จนแล้วจนรอด ทุกวันนี้จำนวนเด็กดื้อในสวนป่าแห่งนี้หรือแห่งไหนๆก็ตาม ลดน้อยลงไปทุกทีแล้ว กระทั่งตำนานเด็กดื้อทลายกำแพงที่ปรากฏอยู่ในที่นี้ ก็เป็นเรื่องที่น้อยคนปรารถนาจะกล่าวถึง
หลายคนหลงลืม หลายคนพยายามลืม และมีบ้างทำเป็นลืม ว่าสวนป่าแห่งนี้ สูญเสียเด็กดื้อที่ดีที่สุดไปหลายคนคราวนั้น.
นิรันดร์ สุขวัจน์
ตุลาคม 2531
**********************************************************************
สาม บทรำพึงนอกตำนาน :
สามทศวรรษหลังการก่อ เกิด
สิบห้าปีผ่านไปอย่างที่แทบไม่เคยมีใครรับรู้ว่าตำนานชิ้นนี้ปรากฏขึ้นในโลก กระทั่งเพื่อนพ้องน้องพี่บางคนอยากเห็น และนำมาสู่การจัดพิมพ์อีกครั้ง สถานการณ์ที่ต่างออกไปคือ ในบางมิติของสังคมไทยใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์คราวนั้นได้อย่างผสมกลมกลืนกับผลประโยชน์ชนิดที่ ณ วันเวลาของปรากฏการณ์ไม่มีใครสักคนกล้าแม้แต่จะคิด หลายต่อหลายคนเป็นคนของกำแพงอย่างเต็มอกเต็มใจ หลายต่อหลายคนทุรนทุรายพาตัวไปสู่ความเป็นคนของกำแพง
ผมคิดถึงเด็กดื้อผู้จากไปแล้วทั้งหลายที่อุทิศตัวเพียงเพื่อเป็นอิฐปูทาง ผมอายุมากพอที่จะตระหนักว่า การไม่เป็นที่ยอมรับของอะไรหลายๆ อย่างนั้น หาใช่สาระของชีวิตแม้แต่น้อย...
ไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะมีชีวิตอยู่เห็นสภาวะเดือนตุลากับฝูงเหลือบไปอีกนานแค่ไหน.
นิรันดร์ สุขวัจน์
กันยายน 2546