Article  :  Political   :  Forum  :  Facebook  :  Youtube

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2563

สังเขปประวัติศาสตร์การเมืองยุคใกล้ของไทย (11)

สังเขปประวัติศาสตร์การเมืองยุคใกล้ของไทย
การรัฐประหาร รัฐธรรมนูญและการเลือกตั้ง (11)

กบฏยังเติร์ก หรือ กบฏเมษาฮาวาย เป็นความพยายามก่อรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 เมษายน - 3 เมษายน พ.ศ. 2524

11. ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2521 (ต่อ) ในระหว่างการประกาศและบังคับใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2521 อันเป็นรัฐธรรมนูญที่ยกร่างโดย "คณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ" ซึ่งตั้งขึ้นโดย "สภานิติบัญญัติแห่งชาติ" อันเป็นผลผลิตจากการรัฐประหาร (สองครั้ง) ที่นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ มีความเคลื่อนไหวทั้งที่มีลักษณะทั่วไปของระบอบการเมืองที่ไม่เสถียร และทั้งที่มีลักษณะเป็นวิกฤตการณ์ทางการเมืองเกิดขึ้นหลายครั้ง

อันดับแรก คือ "การเลือกตั้ง" ในห้วงเวลาของการประกาศใช้รัฐธรรมนูญบับนี้ มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น 4 ครั้ง คือ (จำนวนครั้งนับจากการเลือกตั้งครั้งแรกหลังการอภิวัฒน์สยาม 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 คือการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476)
การเลือกตั้งครั้งที่ 14 (22 เมษายน พ.ศ. 2522)
การเลือกตั้งครั้งที่ 15 (18 เมษายน พ.ศ. 2526)
การเลือกตั้งครั้งที่ 16 (27 กรกฎาคม พ.ศ. 2529)
การเลือกตั้งครั้งที่ 17 (24 กรกฎาคม พ.ศ. 2531)
อันดับถัดมา คือ "นายกรัฐมนตรี" หรือ "หัวหน้าฝ่ายบริหาร" ซึ่งตลอดระยะเวลา 12 ปี มีนายกรัฐมนตรีรวม 3 คนด้วยกัน ทั้งนี้ไม่มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญว่าด้วยนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีในคณะรัฐบาล "ต้อง" มาจากการเลือกตั้ง

คนแรก พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ดำรงตำแหน่ง 2 สมัย
สมัยที่ 1 คณะรัฐมนตรีคณะที่ 40 จากวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2520 โดยมติ "คณะปฏิวัติ" ในการรัฐประหาร (ซ้ำ) นำโดย พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ และพ้นจากตำแหน่งวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2522
สมัยที่ 2 คณะรัฐมนตรีคณะที่ 41 จากวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2522 ตามมติสภาผู้แทนราษฎร โดยพ้นตำแหน่งวันที่ 3 มีนาคม 2523 โดยการลาออกกลางสภา
คนที่สอง พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ดำรงตำแหน่ง 3 สมัย
สมัยที่ 1 คณะรัฐมนตรีคณะที่ 42 จากวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2523 โดยมติสภาผู้แทนราษฎร ถึงวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2526 สิ้นสุดลงภายหลังการยุบสภา ในวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2526 เนื่องจากสภาผู้แทนราษฎรไม่เห็นชอบกับการเสนอให้ยืดอายุการใช้บทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 และจัดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2526
สมัยที่ 2 คณะรัฐมนตรีคณะที่ 43 จากวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2526 โดยมติสภาผู้แทนราษฎร ถึงวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2529 สิ้นสุดลงภายหลังการยุบสภา ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2529 เนื่องจากรัฐบาลแพ้เสียงในสภา จากนั้นจัดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2529
สมัยที่ 3 คณะรัฐมนตรีคณะที่ 44 จากวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2529 โดยมติสภาผู้แทนราษฎร ถึงวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2531 สิ้นสุดลงภายหลังการยุบสภา ในวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2531 เนื่องจากเกิดปัญหาขึ้นใน พรรคประชาธิปัตย์ เกิด "กลุ่ม 10 มกรา" ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองอย่างเป็นเอกเทศภายในพรรค ร่วมลงมติไม่สนับสนุนพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ที่รัฐบาลเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภา จนทำให้พระราชบัญญัติไม่ผ่านการเห็นชอบ พรรคประชาธิปัตย์แสดงความรับผิดชอบโดยการถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล พลเอกเปรมจึงประกาศยุบสภา และจัดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2531
ภายหลังการเลือกตั้งเสร็จสิ้นในคืนวันที่ 27 กรกฎาคม 2531 หัวหน้าพรรคการเมืองซึ่งเสียงข้างมากจากจำนวนว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หารือที่จะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล โดยมีพรรคชาติไทยเป็นแกนนำ ได้เข้าพบพลเอกเปรมที่บ้านพัก เพื่อเชิญให้มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่ 4 แต่พลเอกเปรมปฏิเสธ ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเนื่องจากในช่วงปลายรัฐบาลพลเอกเปรม 3 ขณะที่กำลังจะมีการเลือกตั้ง มีกระแสการคัดค้านการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่ 4 จากกลุ่มนักวิชาการ

ในวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2531 จึงได้มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ พลตรีชาติชาย ชุณหะวัณ (ยศขณะนั้น) ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 17

หลังพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พลเอกเปรม เป็นองคมนตรี ในวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2531 จากนั้นในวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2531 ได้รับโปรดเกล้าฯ ยกย่องให้เป็นรัฐบุรุษ และในวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2541 มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ให้เป็นประธานองคมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ที่ได้รับพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ เป็นองคมนตรี ตามหลังนายธานินทร์ กรัยวิเชียร

คนที่สาม พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ ดำรงตำแหน่ง 2 สมัย
สมัยที่ 1 คณะรัฐมนตรีคณะที่ 45 จากวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2531 โดยมติสภาผู้แทนราษฎร และพ้นจากตำแหน่งวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2533 จากการลาออก
สมัยที่ 2 คณะรัฐมนตรีคณะที่ 46 จากวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2533 ตามมติสภาผู้แทนราษฎร โดยพ้นตำแหน่งวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 จากการเข้ายึดและควบคุมอำนาจในการปกครองประเทศ ของ คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) โดยการนำของ พลเอกสุนทร คงสมพงษ์ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 ด้วยเหตุผลสำคัญ (ที่ยังนำมาใช้พร่ำเพื่อแม้จนทุกวันนี้) ได้แก่ พฤติการณ์การฉ้อราษฎร์บังหลวงของนักการเมือง ข้าราชการการเมืองใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงข้าราชการประจำ รัฐบาลเป็นเผด็จการรัฐสภา มีการพยายามทำลายสถาบันทหาร และการบิดเบือนคดีล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์
อันดับที่สาม เกิดการ "กบฏ" ถึง 2 ครั้ง โดยคณะนายทหารบก (แทบจะเป็น) ชุดเดียวกัน
ครั้งแรก กบฏยังเติร์ก หรือ กบฏเมษาฮาวาย เป็นความพยายามก่อรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 เมษายน - 3 เมษายน พ.ศ. 2524 โดยคณะผู้ก่อการที่เรียกตัวเองว่า "คณะกรรมการสภาปฏิวัติ" เพื่อยึดอำนาจการปกครองของนายกรัฐมนตรี พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ผู้ก่อการประกอบด้วยนายทหารซึ่งจบจาก โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่น 7 (จปร. 7) หรือที่เรียกว่า รุ่นยังเติร์ก ได้แก่ พันเอกมนูญ รูปขจร, พันเอกชูพงศ์ มัทวพันธุ์, พันเอกประจักษ์ สว่างจิตร, พันโทพัลลภ ปิ่นมณี, พันเอกชาญบูรณ์ เพ็ญตระกูล, พันเอกแสงศักดิ์ มงคละสิริ, พันเอกบวร งามเกษม, พันเอกสาคร กิจวิริยะ โดยมี พลเอกสัณห์ จิตรปฏิมา รองผู้บัญชาการทหารบก เป็นหัวหน้าคณะ เริ่มก่อการเมื่อเวลา 02.00 น. ของวันที่ 1 เมษายน โดยจับตัว พลเอกเสริม ณ นคร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด, พลโทหาญ ลีนานนท์, พลตรีชวลิต ยงใจยุทธ และ พลตรีวิชาติ ลายถมยา ไปไว้ที่หอประชุมกองทัพบก และออกแถลงการณ์สรุปใจความดังนี้
"เนื่องจากสถานการณ์ของประเทศทุกด้านกำลังระส่ำระส่ายและทรุดลงอย่างหนัก เพราะความอ่อนแอของผู้บริหารประเทศ พรรคการเมืองแตกแยก ทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลสั่นคลอน จึงเป็นจุดอ่อนให้มีคณะบุคคลที่ไม่หวังดีต่อประเทศเคลื่อนไหว จะใช้กำลังเข้ายึดการปกครองเพื่อเปลี่ยนแปลง การปกครองเป็นแบบเผด็จการถาวร ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยและอยู่รอดของประเทศ คณะปฏิวัติซึ่งประกอบด้วยทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจ และพลเรือน จึงได้ชิงเข้ายึดอำนาจการปกครองของประเทศเสียก่อน"

(ยังมีต่อ)



พิมพ์ครั้งแรก โลกวันนี้ ฉบับวันสุข 16-22 สิงหาคม 2557
คอลัมน์ พายเรือในอ่าง ผู้เขียน อริน
ร่วมสนับสนุนการเขียนและเผยแพร่ความคิด และกิจกรรมได้โดยโอนเงินไปที่

บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกรุงไทย สาขาเทสโก้โลตัส วังหิน
ชื่อบัญชี วัฒนา สุขวัจน์
บัญชีเลขที่ 986-2-87758-8