"กบฏผีบุญ นายศิลา วงศ์สิน"
กบฏสุดท้ายก่อนยุคคอมมิวนิสต์ (4)
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีเจ้าของฉายา
"จอมพลผ้าขาวม้าแดง" ที่ครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าคณะปฏิวัติ (รัฐประหาร)
(หมายเหตุ: สรรพนาม "ผม" ในเนื้อหาเป็นของเจ้าของและผู้เขียนบล็อก)
**********
นายศิลายอมรับว่าที่เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นเพราะชาวบ้านที่โกรธแค้นทางอำเภอเรื่องที่ทำกินที่ทางอำเภอไม่ให้ เลยรุมทำร้ายเจ้าหน้าที่แม้ว่าตนจะห้ามปรามแล้วชาวบ้านก็ไม่เชื่อ ส่วนความนิยมชมชอบที่ชาวบ้านมีให้อย่างล้นหลามนั้นเนื่องจากตนเป็นคนเรียน วิชาอาคมทางไสยศาสตร์มาเป็นอย่างดีบ่ายวันเดียวกันนั้น นายศิลา วงศ์สิน ได้มีโอกาสพบนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยซึ่งเป็นโอกาสที่คนธรรมดาสามัญยากที่จะได้พบนายพลผู้มีอำนาจมากที่สุด และผู้มีเรื่องอื้อฉาวทั้งเรื่องผู้หญิงและทรัพย์สินหลังการสิ้นอำนาจวาสนาไปแล้ว
"ลื้อกำแหงมากนะ คิดแบ่งแยกดินแดนล่ะสิ"
คำแรกที่ท่านผู้นำเอ่ย เมื่อพบหน้านายศิลาเมื่อปะหน้าผู้สถาปนาตนเองเป็นผู้นำคนได้เป็นร้อยกับผู้นำคนเป็นล้านจากแดนอีสานด้วยกัน
"ผมไม่เคยคิดเลยครับ"
นายศิลากล่าวขณะก้มลงกราบท่านผู้นำด้วยไปหน้าซีดสลดเป็นไก่ต้มสุกหนีไข้หวัดนก
ท่านผู้นำจ้องหน้าทันทีขณะที่นายศิลาก้มหน้าหลบ
"ถ้าลื้อเป็นผู้วิเศษจริง อมกระโถนหรือวิทยุให้อั๊วดูหน่อยได้ไหม? ถ้าลื้อทำได้อั๊วจะยอมเป็นลูกน้องลื้อ !"
ผมนึกถึงบรรยากาศโรงพักสามยอดตอนนี้นคงยังมีกระโถนวางอยู่แถวๆ นั้น แต่ผมไม่คิดหร็อกว่าจะมีเจ้าหน้าที่ยังเคี้ยวหมากอยู่ เพราะท่านผู้นำคนก่อนได้ประกาศห้ามการกินหมากแล้วถ่มน้ำหมากเปื้อนในที่ สาธารณะแล้ว บรรดาข้าราชการย่อมสนองนโยบายเป็นพวกแรก เว้นชาวบ้านที่ไม่สนใจคำขอของผู้นำคนก่อน ผมเองมีหน้าที่ซื้อหมาก พรูและสีเสียดบ้าง ยาฉุน ปูนแดง และปูนขาวในวันที่คุณยายอยากเคี้ยวหมาก และเป็นมือตะบันหมากในที่ตะบันทองเหลืองให้แขกรุ่นราวคราวเดียวกับคุณยาย ซึ่งบรรดาขแขกของยายผู้ที่อายุขัยของฟันกับอายุขัยของตัวไม่สัมพันธ์กันอยู่บ่อยๆ ตอนเด็กๆ
กระโถน แน่นอนสมัยนั้นกับสมัยนี้ขนาดคงไม่ต่างกันเท่าไหร่ แล้ววิทยุที่ท่านผู้นำจะให้นายศิลาไปอมเพื่อแสดงความวิเศษเหนือคนให้ท่านดู ผมเข้าใจว่าเป็นวิทยุสื่อสาร แบบส่วนบุคคล ซึ่งคงเป็นของเจ้าหน้าที่วางอยู่แถวๆนั้น หรือว่าอาจเป็นวิทยุสื่อสารแบบตั้งโต๊ะ หรือว่าอาจเป็นวิทยุแบบ AM หรือคลื่นสั้นที่ฟังข่าวฟังเพลง ผมก็เดาว่าขนาดใกล้เคียงกับทีวียี่สิบนิ้วสมัยนี้ หากเป็นวิทยุมือถือขนาดก็ต่างจากโทรศัพท์มือถือสมัยนี้สิ้นเชิง เรื่องอมให้ดูนั้นคงเป็นไปไม่ได้ ผมว่าท่านผู้นำคงมองๆ หาอะไรที่คนธรรมดาอมไม่ได้อยู่แล้ว ขืนเอาที่ให้อมได้โดยใช้ความพยายามสักหน่อยนี่ ท่านผู้นำอาจต้องแย่กลายเป็นลูกน้องจริงๆ ของนายศิลาเข้านี่ อาจยุ่งหนักว่าเดิมก็ได้
"ลื้อมีอะไรจะพูดอีกไหม ! "
นายศิลาไม่ตอบคำถามสุดท้าย จะเพราะยังคิดอะไรไม่ออก หรือคิดออกแต่จะพูดไปก็เท่านั้นไม่มีใครรู้ ใครที่อยากรู้ต้องไปถามเจ้าตัวเขาเอาเอง
เย็นนั้นนายศิลาถูกส่งกลับจากกรุงเทพ มาที่นครราชสีมา
23 มิถุนายน 2502 คณะรัฐมนตรีได้มีมติ ให้นายกรัฐมนตรี ใช้มาตรา 17 ซึ่งเป็นอำนาจที่ให้นายกรัฐมนตรีสั่งลงโทษได้อย่างกว้างขวางและรุนแรง หากเกิดเหตุการณ์กระทบต่อความมั่นคงบ้านเมือง ทำหน้าที่ประหารชีวิต ตัดสินแทนศาลก็ได้เลย แทบจะเรียกว่าเทียบเท่ากับกษัตริย์ ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในอดีต ไม่ต้องผ่านกระบวนการยุติธรรมทางศาลให้เหนื่อยกันเป็นคณะๆ คอยตีข่าว คอยชี้มูล คอยฟ้อง และเข้าสู่กระบวนการตัดสิน เหมือนสมัยนี้ กฎหมายฉบับนั้นเป็นสัญญลักษณ์ของอำนาจ ของบุคคล "ท่านผู้นำ" คือ "รัฐ" แบบเบ็ดเสร็จ ที่ประเทศเราเคยมีมา
26 มิถุนายน 2502 วันคล้ายวันเกิดของกวีสุนทรภู่ แต่ไม่มีใครจะสนใจเรื่องกาพย์กลอน นายกรัฐมนตรีได้ประกาศถึงประชาชน ที่ใช้อำนาจ มาตรา 17 เพื่อประหารชีวิต นายศิลา วงศ์สิน
เวลาประมาณ 17:00 น. นายศิลา วงศ์สิน ถูกนำตัวไปหลักประหารที่ป่าช้าจีนของนครราชสีมา เมื่อรู้ตัวว่าความตายจะมาถึงตนไม่ช้า ถึงกับเข่าอ่อนไปเลย เจ้าหน้าที่ต้องหิ้วปีกไปเหมือนไก่ อันนี้ท่าจะจริง เคยมีผู้ต้องหาคดีสังหารผู้ว่าราชการจังหวัดคนหนึ่งสมัยรัฐบาลท่านนายกทักษิณ ผู้ร้ายที่เป็นอดีตนายทหารของกองทัพไทย ผู้หันมาเอาดีทางร้ายๆ เคยฝึกอดทนต่อเรื่องอย่างนี้มามาก นั้นตามข่าวเห็นว่าขี้ราดกันเลย ต้องมีคนหิ้วปีกไปเหมือนกัน แต่นายศิลาแค่เข่าอ่อนหมดแรงนี่ยังดูดีกว่ารายคดีสังหารผู้ว่ายโสธร
คดีกบถต่อแผ่นดินไทยจะว่างเว้นมานานแค่ไหน หรือมีบ้างปะปรายตามฝ่ายที่กล่าวหากันทางการเมือง แต่เท่าที่ผู้เขียนจำได้ชัดเจน ก็ตอนที่นายกรัฐมนตรีของไทยคนที่เป็นประธานองคมนตรีอยู่นี่แหละ ที่หัวหน้ากบถมียศตำแหน่งระดับพลเอกถูกตัดสินประหารชีวิต ส่วนผู้ร่วมก่อได้รับการอภัยโทษแต่สามารถโลดแล่นเป็นตัวตน พูดฉอดๆ รักชาติบ้านเมืองอย่างนั้น อย่างนี้อยู่นี่ก็หลายคน ลองหาอ่านเอาเอง มีผู้เขียนเยอะแยะ
กระสุนปืนคาร์บินกว่า 20 นัดพุ่งใส่ร่างของนายศิลา วงศ์สินที่มัดติดอยู่หลักประหาร ปิดคดีกบถผึบุญอีสาน ผู้หาญต่อสู้อำนาจรัฐของอีสาน ณ บ้านใหม่ไทยเจริญ ตำบลสารภี อำเภอโชคชัย นครราชสีมา ที่มีตำนานรวมกันกับกบถหลายคน ว่างๆ จะเอากบถเชียงแก้ว ชายผู้ผ่านชีวิตนักบวชเป็นเณรน้อยแต่เปลี่ยนใจเดินทางธรรม หันมาเอาดีทางการเมืองเป็นผู้นำผู้คนต่อต้านอำนาจกษัตริย์หลายๆ ราชสำนัก และนำกำลังยึดเมืองต่างๆ ในประเทศราชไทย จนมาพ่ายแพ้ต่อทางการไทย ที่สนามรบแก่งตะนะ ใต้เขื่อนปากมูล ลองดูภาพสมรภูมิระหว่างเชียงแก้วกับกองทหารของราชอาณาจักรไทยไปพลางๆ ภาพที่ผู้เขียนที่เพิ่งถ่ายอาทิตย์ที่แล้วไปก่อน
(จบ)
น่าเสียดายที่การศึกษาค้นคว้าข้อมูลทางประวัติศาสตร์ไทยที่ผ่านมา ทำได้อย่างค่อนข้างยากลำบาก โดยเฉพาะสำหรับประชาชนธรรมดาที่ไม่มีดีกรีระดับสูงๆ ทางการศึกษาในระบบ หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อมูลจำนวนมากอาจค้นได้จากสถาบันที่เป็นทางการในต่างประเทศด้วยซ้ำไป เป็นเหตุให้คุณลักษณะสำคัญของ "สังคมที่มีที่มาที่ไป" ของไทย กลายเป็นเรื่อง "ปกปิด" ที่พูดไม่ได้ เผยแพร่ต่อสาธารณะ "ไม่ได้" มาช้านานแม้จนเมื่อมีการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ระบอบประชาธิปไตยหรือระบอบรัฐธรรมนูญสยาม เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ข้อเท็จจริงในฐานะที่เป็นประวัติศาสตร์ยุคใกล้ ทั้งหลายนับแต่นั้นมา ยังคงถูก "ปกปิดบิดเบือน" มาจนแม้ในการ "รัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549" นี้เอง.
พิมพ์ครั้งแรก โลกวันนี้ ฉบับวันสุข 17-23 พฤษภาคม 2557
คอลัมน์ พายเรือในอ่าง ผู้เขียน อริน