ว่าด้วยการลุกขึ้นสู้ของประชาชน (2)
"กบฏผีบุญ" กับเทวนิยมและไสยศาสตร์
ความแตกต่างในสถานภาพทางสังคมระหว่างทาสกับเจ้าขุนมูลนาย
ที่เริ่มจากการแต่งกาย ภาพถ่ายสมัยรัชกาลที่ 5 ก่อนเลิกไพร่และทาส
ทั้งนี้ ในระหว่างงานเขียนและตีพิมพ์เผยแพร่ประจำสัปดาห์ ผู้เขียนมีงานเขียนจำนวนหนึ่งมีลักษณะวิพากษ์วิจารณ์ทางหลักการต่อทิศทางและแนวทางการเคลื่อนไหวทางการเมืองกระแสหลักในสังคม ที่ถูกปฏิเสธจากการนำกระแสหลักโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีกที่อ้าง "ประชาธิปไตย" ซึ่งผู้เขียนไม่เห็นด้วยนับจาก "แนวทางฎีกา" ของ นายวีระ (วีรกานต์) มุสิกพงศ์
และในท่ามกลาง "ความไม่เห็นด้วย" เหล่านั้น ทัศนะไม่เอาหลักการ ไม่เอาทฤษฎีการเมือง เป็นประเด็นหลักที่ผู้เขียนค่อนข้างไม่สามารถยอมรับได้ โดยเห็นว่าการนำดังกล่าวไม่อาจยกระดับจิตสำนึกทางการเมืองของมวลชนมากไปกว่า
ประการแรก "การชูตัวบุคคล" ซึ่งก็คือ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็น "ผู้ถูกกระทำ" จากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
ประการถัดมา สร้าง "วาทกรรมการเมืองรายวัน" ที่เน้น "ความเกลียดชัง" ในตัวบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเสียยิ่งกว่าการทำความเข้าใจในหลักการ เปรียบเทียบระหว่างการเมืองสองระบอบ คือประชาธิปไตย กับปฏิกิริยา/ปฏิปักษ์ประชาธิปไตย
ประการสุดท้าย อาศัย "การปลุกระดม" ผ่าน "แกนนำ/นักการเมือง" ที่นิยมในตัว พ.ต.ท. ทักษิณ ดังกล่าวแล้ว สร้าง "ศัตรูทางการเมือง" เป็นครั้งๆ ไป การตรวจสอบ/ทบทวนเป้าหมายการเคลื่อนไหวนับจากปี พ.ศ. 2551 จะทำให้เห็นประเด็นนี้ชัดเจน
สำหรับ โลกวันนี้ วันสุข ฉบับนี้ ขออนุญาตนำข้อเขียนเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2556 ในหัวข้อ "ระบบคิดอเทวนิยม" กับการสถาปนา "ระบอบประชาธิปไตย" เพื่อให้พิจารณาและวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง อันอาจจะประโยชน์ต่อพัฒนาการของขบวนประชาชาติประชาธิปไตยในอนาคตจากนี้ไป
**********
ในท่ามกลางการต่อสู้ทางการเมือง จะโดยสันติวิธีค่อยเป็นค่อยไป หรือจะโดยความรุนแรงพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินก็ตาม ศูนย์รวมทางนามธรรมที่ขาดไม่ได้คือ "อุดมการณ์" ทางการเมืองในอดีตที่ผ่านมาจากยุคทาส ยุคศักดินาสวามิภักดิ์ และยุคราชาธิปไตย อุดมการณ์ที่ว่านั้น ล้วนขึ้นต่อ และมีรากฐานมาจากความคิดแบบ "จิตนิยม/เทวนิยม" ทั้งสิ้น ความชอบธรรมที่มักใช้อ้างทั่วทุกภูมิภาคของโลกคือ ผู้นำในการลุกขึ้นสู้เพื่อโค่นล้มระบบการปกครองหรือผู้ปกครองเก่าได้รับ "โองการสวรรค์" หรือมี "นิมิตจากฟ้า" ในระบอบ "เทวสิทธิ์" หรือในหลายประเทศถึงกับอ้างความเป็น "อวตาร" (เช่นในญี่ปุ่นหรือในอินเดีย หรือแม้แต่รัฐดั้งเดิมในดินแดนสุวรรณภูมิ)
การลุกขึ้นสู้หลายครั้งประสบความสำเร็จ สามารถสถาปนา "ราชวงศ์" ใหม่ขึ้นมาปกครองอาณาจักร ในขณะที่อีกหลายสิบ หลายร้อยครั้ง ประสบความปราชัยกลายเป็น "กบฏชาวนา" หรือ "กบฏขุนนาง" หรือบางอย่างในลักษณะเดียวกัน
กระทั่งประวัติศาสตร์ยุคใกล้ ช่วงรอยต่อระบบสังคมมสองระบบในยุคสมัยที่คาบเกี่ยวกัน คือการเกิดขึ้นของอุมการณ์ประชาธิปไตย ซึ่งเกิดขึ้นตามมาจากการพังทลายของแนวคิดจิตนิยมทุกๆ สำนัก แทบจะโดยทันทีในท่ามกลายการถูกกัดกร่อนบ่อนทำลายตัวเองของปรัชญาเทวนิยม พร้อมกับการตั้งคำถามถึงความชอบธรรมใน "โองการสวรรค์" จากมวลชนผู้ถูกปกครองจำนวนมหาศาล ที่สืบเนื่องการถูกกดขี่ขูดรีดนับจากยุคทาส ยุคศักดินา จนถึงยุคราชาธิปไตย แนวคิดของนักคิดคนสำคัญฝ่ายประชาธิปไตยก็เริ่มก่อรูปขึ้นมาภายใต้พัฒนาการ ของวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ จากนั้นการประดิษฐ์คิดสร้างจากสมองและสองมือของมนุษย์ จึงนำพามนุษย์ก้าวพ้นขีดจำกัดของการเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตตามยถากรรมไปทันที
พร้อมกับการประกาศอย่างทรนง ซึ่งปรัชญามนุษยนิยม อันเป็นพัฒนาที่เลี่ยงไม่ได้ของมาจากปรัชญาธรรมชาตินิยม ทั้ง 2 กระแสปรัชญาหลังยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการและยุคแห่งความรู้แจ้ง ซึ่งก่อรูปและพัฒนาขึ้นมาภายใต้การตระหนักรู้ทีละน้อยว่า ภูตผีปิศาจ หรือเทวดานางฟ้า หรือแม้แต่พระเจ้าที่ถูกสร้างขึ้นให้อยู่เหนือธรรมชาติและทรงมหิทธิานุภาพ ล้วนมีขึ้นเพื่อจุดมุ่งหมายให้มนุษย์จำนวนมากถูกทำให้เป็นเพียง "ผู้ถูกปกครอง" จากการ ปกปิด บิดเบือน และมอมเมา ด้วยปรัชญาเทวนิยมทั้งหลายเหล่านั้น ที่มีเป้าหมายในที่สุดในการสร้างขึ้นเพื่อมนุษย์กลุ่มหนึ่ง ใช้เป็นอำนาจเหนือธรรมชาติ หรือเทวสิทธิ์ "กด" มนุษย์ที่ถูกถือว่าต่ำต้อยน้อยหน้ากว่ามาเป็นเวลานับพันปี
และการลุกขึ้นสลัดโซ่ตรวนของปรัชญาเทวนิยมนี้เอง คือพันธกิจของนักปฏิวัติประชาธิปไตยทั้งปวงในการการทำลายห่วงโซ่ข้อแรก และเป็นก้าวแรกที่สำคัญยิ่งต่อลุกขึ้นปลดแอกในขอบเขตจิตสำนึกของผู้ถูก ปกครอง เปลี่ยนผ่านผ่านสู่ความเป็น "เสรีชน" เพื่อถามหากระบวนการปกครองตนเอง นั่นคือ...
"ระบอบประชาธิปไตย"
(ผู้เขียน) ขอประกาศคัดค้านแนวคิด "จิตนิยม/เทวนิยม" ทุกสำนักในขบวนแถวประชาธิปไตย ด้วยมีแต่สองมือมนุษย์เท่านั้นที่จะสรรค์สร้างและจรรโลงอารยธรรมมนุษย์ ไปสู่คุณภาพใหม่ทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสมบูรณ์ สวรรค์และเทพเจ้าทั้งหลาย ล้วนอุปโลกน์ขึ้นเพื่อชนชั้นที่กดขี่ขูดรีดเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองเสมอมาในประวัติศาสตร์
ขอเรียกร้องไปยังมิตรสหายในขบวนประชาธิปไตยประชาชน เรือนแสนเรือนล้าน ให้หยุดกระบวนการบิดเบือนและมอมเมา ด้วยความคิดที่จำแนกมนุษย์ด้วยกันเป็นชนชั้น ผ่านบุคลาธิษฐานหลากหลายในเทพปกรณัม ทั้งเก่าและใหม่ พร้อมกับการสร้าง "ระบบคนกินคน" ในสังคมที่จมปลัก ดักดาน และล้าหลังทุกขอบเขตปริมณฑล
ประชาชน ทั้งหลาย จงหยุดเชิดชูความศักดิ์สิทธิ์ของสิ่งไม่มีอยู่จริงจากนอกฟ้าป่าหิมพานต์ เพื่อจักได้ลืมตาตื่นจากความงมงายและการร้องขอและเฝ้ารอ ยืนหยัดอย่างท้าทายต่อธรรมชาติและอารยธรรมที่จะสถาปนาระบอบการปกครองที่ เป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน
**********
ผู้เขียนเคยวิพากษ์มาก่อนหน้านี้แล้ว ครั้งที่ "หมอดูฟันธงขึ้นเวที นปช. ที่สะพานชมัยมรุเชฐ์" ก่อนกรณีสงกรานต์เลือด 2552 ประกาศว่า "รัฐบาลอภิสิทธิ์ฯ จะอยู่ไม่เกิน 7 วัน" ตามมาด้วยกรณี "นปช. แจกจตุคามรามเทพ" รวมทั้งกระบวนการจิตนิยม/ไสยศาสตร์อื่นๆสำหรับความจำเป็นในขบวนการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองใดๆ ก่อนอื่นคือ "ระบบคิด" ที่ก้าวหน้ากว่า มีความเป็นวิทยาศาสตร์ทั้งวิทยาศาสตร์กายภาพและวิทยาศาสตร์สังคม สอดคล้องกับพัฒนาการของอารยธรรมของมนุษย์มากกว่าเป็นสำคัญ.
(ยังมีต่อ)
พิมพ์ครั้งแรก โลกวันนี้ ฉบับวันสุข 24-30 พฤษภาคม 2557
คอลัมน์ พายเรือในอ่าง ผู้เขียน อริน