Article  :  Political   :  Forum  :  Facebook  :  Youtube

วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2554

2475-2549 โปรดฟังอีกครั้ง (23)

ทหารเรือกู้ชาติ:
ผิดแผนแต่ไม่ยอมแพ้

หลังจากควันหลงการกวาดล้างปราบปรามกบฏวังหลวงค่อยจางลง ส่งผลให้สถานการณ์ทางการเมืองของไทยคืนสู่ความสงบเรียบร้อยอยู่ระยะหนึ่ง พร้อมกับประชาชนชาวไทยพากันใจจดใจจ่ออยู่กับพระราชพิธีสำคัญ เริ่มจากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหมั้น ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร ธิดาเอกอัครราชทูตประจำราชสำนักเซนต์เจมส์ ประเทศอังกฤษ พลเอก พระวรวงศ์เธอกรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ (หม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร) และหม่อมหลวงบัว กิติยากรเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2492 และเสด็จขึ้นสู่พระราชพิธีอภิเษกสมรส เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 ต่อมาวันที่ 5 พฤษภาคม 2493 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นสู่พระราชพิธีบรมราชาภิเษก

ทว่าในท่ามกลางบรรยากาศที่ดูเหมือนจะเงียบสงบนั้นเอง กลับแฝงไปด้วยความปั่นป่วนที่ก่อตัวในลักษณะคลื่นใต้น้ำในฝ่ายทหารเรือ อันมีสาเหตุสืบเนื่อง 3 ประการ คือ

  1. ความตึงเครียดระหว่างทหารบกและตำรวจกับทหารเรือต่อเนื่องมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 โดยที่ทหารบกสนับสนุนจอมพล ป. พิบูลสงคราม ทหารเรือสนับสนุนนายปรีดี พนมยงค์ ส่วนตำรวจนั้นมีปัญหาการกระทบกระทั่งกับทหารเรือและกล่าวหาให้ร้ายอยู่เสมอ
  2. ทหารเรือเห็นว่า รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ภายใต้การสนับสนุนของคณะรัฐประหาร 2490 มิได้บริหารราชการแผ่นดินเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนอย่างแท้จริง ใช้วิธีเผด็จการ ที่สร้าง "รัฐตำรวจ" ขึ้นข่มขู่ประชาชน และกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามอย่างทารุณและไร้มนุษยธรรม
  3. ความเสื่อมโทรมในกองทัพเรือนับภายหลังเหตุการณ์กบฏวังหลวง 26 กุมภาพันธ์ 2492 เพราะรัฐบาลไม่ไว้วางใจและจำกัดงบประมาณพัฒนาขีดความสามารถและอื่นๆลง เป็นต้นว่าตัดกำลังนาวิกโยธินลง

ประกอบกับข่าวสารที่ปรากฏทั่วไป ทั้งตามหน้าหนังสือพิมพ์ในขณะนั้น และหัวข้อพูดคุยทั่วไป มักจะมีข่าวพัวพันการทุจริตคอร์รัปชั่นของรัฐบาลอยู่เนืองๆ ทำให้นายทหารเรือหนุ่มกลุ่มหนึ่งที่นำโดย น.อ.อานนท์ ปุณฑริกาภา ผู้บังคับกองกำลังหมู่รบ น.ต.มนัส จารุภา ผู้บังคับการเรือรบหลวงรัตนโกสินทร์ บุตรของ พล.ร.ต.พระยาปรีชาชลยุทธ (วัน จารุภา) อดีตแม่ทัพเรือ น.ต.ประกาย พุทธารี กรมนาวิกโยธิน น.ต.สุภทร ตันตยาภรณ์ กรมนาวิกโยธิน นัดพบปะหารือกันเป็นการลับหลายครั้ง แล้วมีข้อสรุปเบื้องต้นตรงกันต้องการให้รัฐบาลเปลี่ยนแปลงคณะรัฐมนตรีและผู้นำรัฐบาลเสียใหม่ ทั้งนี้นายทหารสองนายจากกรมนาวิกโยธินสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเสนาธิการทหารบก จึงมีโอกาสขยายวงต่อไปยังนายทหารอื่นๆในกองทัพบกและกองทัพอากาศ

กลุ่มก่อการคิดลงมือปฏิบัติการหลายครั้ง แต่มักมีเหตุสุดวิสัยทำให้ไม่อาจดำเนินแผนการยึดอำนาจได้ ครั้งแรก เป็นแผนจู่โจมควบคุมตัวจอมพล ป. และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพบกที่คุมกองกำลังสำคัญ ในระหว่างพิธีส่งทหารไปราชการสงคราม ณ ประเทศเกาหลี ที่บริเวณท่าเรือคอลงเตย วันที่ 22 ตุลาคม 2493 แต่แล้วก่อนวันปฏิบัติการเพียงหนึ่งวัน คณะผู้ก่อการหรือที่เรียกตนเองว่า "คณะกู้ชาติ" ได้รับแจ้งว่า ทหารนาวิกโยธินหน่วยที่ 4 และ 5 ไม่สามารถเคลื่อนกำลังออกจากที่ตั้งได้ จำเป็นต้องระงับแผนการทั้งหมดเป็นการด่วน และยังมาทราบภายหลังอีกด้วยว่า ความลับที่จะก่อการเกิดรั่วไหลผ่านทางนายทหารในสังกัดกรมสรรพาวุธทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารเรือจึงมีบัญชาให้หน่วยสารวัตรทหารเรือติดอาวุธรักษาการอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันเหตุร้าย

ตามมาด้วยวันที่ 26 พฤศจิกายน 2493 ในการแข่งขันรักบี้ฟุตบอลระหว่างทีมกองทัพบกกับทีมกองทัพเรือ มีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของสามเหล่าทัพไปร่วมงานอย่างพร้อมเพรียงที่สนามศุภชลาศัยกรีฑาสถานแห่งชาติ ผู้ก่อการวางแผนที่จะจู่โจมควบคุมตัวบุคคลสำคัญต่างๆอย่างเช่นครั้งก่อน แต่ก่อนหน้าการแข่งขันเพียงสองชั่วโมง คือเวลาประมาณ 14.00 น. ก็ได้รับรายงานจากสายข่าวมาที่กองเรือรบว่า มีหน่วยกำลังจากโรงเรียนตำรวจปทุมวันประมาณสองกองร้อยติดอาวุธครบมือเคลื่อนตัวไปตามถนนเพลินจิตจนถึงถนนหลังสวน ปฏิบัติการครั้งนี้จึงต้องยกเลิกไปอีกครั้ง

แผนการถัดมากำหนดขึ้นในวัน ที่ 7 พฤษภาคม 2494 โรงเรียนเสนาธิการทหารบกกำหนดจะจัดพิธีประดับเข็มเสนาธิปัตย์และประกาศนียบัตรให้แก่นายทหารที่สำเร็จหลักสูตร ณ ศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งโดยปกติจะต้องกราบบังคมทูลเชิญองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาประทับเป็นประธาน แต่เนื่องจากเสด็จไปประทับอยู่ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงทำหน้าที่เป็นประธานในพิธี คณะก่อการวางแผนว่าในเวลา 14.00 น.ให้ฝ่ายทหารบกเข้าควบคุณพื้นที่และตัวบุคคลภายในกระทรวง กำลังจากกองเรือรบจะจู่โจมเข้าปลดอาวุธทหารรักษาการณ์ ทหารบกจาก ร.พัน 1 รักษาพระองค์ จะเคลื่อนกำลังเข้าตรึงพื้นที่รอบๆกระทรวง

แต่เมื่อถึงวันปฏิบัติการกลับไม่สามารถดำเนินการตามแผนได้อีก เพราะนายทหารบกระดับผู้บังคับกองพันที่จะเข้าควบคุมกระทรวงกลาโหมไม่มาตามกำหนดนัดหมาย คงมีกำลังทหาร ร.พัน 1 รักษาพระองค์สองหมวด เคลื่อนกำลังทำทีท่าฝึกซ้อมการใช้ปืนกลหนัก แต่กลับเตรียมกระสุนจริงไว้ด้วย อันเป็นสาเหตุให้ผู้บังคับบัญชาหน่วยถูกสงสัยและเพ่งเล็ง กลิ่นของผู้ก่อการโชยเข้าจมูกรัฐบาลอยู่บ่อยครั้ง ปรากฏว่าที่บ้าน น.อ.อานนท์ตรงแยกราชวิถี และที่บ้าน น.ต.มนัสที่ศรีย่าน มีตำรวจนอกเครื่องแบบไปซุ่มจับตาการเคลื่อนไหวอยู่บ่อยๆ

แม้ว่าแผนการยึดอำนาจจะมีอันต้องสะดุดแล้วสะดุดอีก ถึงกระนั้นนายทหารเรือยังเตอร์กกลุ่มนี้ก็ไม่ละความพยายาม ยังมีการประชุมนัดหมายวางแผนครั้งใหม่โดยกำหนดวันก่อการในวันที่ 26 มิถุนายน 2494 ด้วยการบุกเข้าควบคุมตัวนายทหารชั้นผู้ใหญ่ซึ่งกำลังประชุมกันอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล พร้อมกับจู่โจมยึดวังปารุสกวัน จากนั้นจะใช้กำลังจากนาวิกโยธินหน่วยที่ 4 และ 5 เข้าสมทบกับกำลังหมู่รบจากกองเรือยึดจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญในเขตพระนคร

แต่แล้วประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอยอีกครั้งเมื่อ น.ต.ประกายไม่สามารถนำนาวิกโยธินทั้งสองหน่วยออกจากที่ตั้งได้ ทั้งที่หน่วยอื่นๆเคลื่อนพลพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ออกจากที่ตั้งแล้ว จึงจำเป็นต้องสลายกำลังเป็นการด่วน ส่วนอาวุธต้องรอถึงกลางคืนจึงนำเข้าไปเก็บในคลังโดยไม่มีผู้สงสัย ความผิดพลาดครั้งนี้ ทำให้ทหารจากหน่วยต่างๆเฉพาะอย่างยิ่งจากกองทัพบก ขอถอนตัว จน น.อ.อานนท์ และ น.ต. มนัส ต้องชี้แจงให้ทราบว่าฝ่ายรัฐบาลยังไม่ระแคะระคายแผนการยึดอำนาจทั้งหมด ขอให้อดทนและยึดมั่นในอุดมการณ์ กระนั้นก็ตามก็มีกำลังส่วนหนึ่งขอยุติบทบาทในการเข้าร่วมก่อการโดยเด็ดขาด.


พิมพ์ครั้งแรก โลกวันนี้ ฉบับวันสุข วันที่ 22 - 28 สิงหาคม 2552
คอลัมน์ พายเรือในอ่าง ผู้เขียน อริน
ร่วมสนับสนุนการเขียนและเผยแพร่ความคิด และกิจกรรมได้โดยโอนเงินไปที่

บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกรุงไทย สาขาเทสโก้โลตัส วังหิน
ชื่อบัญชี วัฒนา สุขวัจน์
บัญชีเลขที่ 986-2-87758-8