กบฏสันติภาพ 2495:
คิดต่างคือความผิดร้ายแรง
คิดต่างคือความผิดร้ายแรง
การกล่าวถึง "กบฏสันติภาพ" ซึ่งเป็นการกวาดล้างนักคิด นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ ตลอดจนปัญญาชน นิสิต นักศึกษาจำนวนมากในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2495 นั้นจำต้องย้อนความไปในช่วงปลายปี 2493 เมื่อมีการเคลื่อนไหวรณรงค์สันติภาพ โดยออกหนังสือพิมพ์ "การเมือง" ที่มีนายประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ และนายบุญชู โรจนเสถียร เป็นเจ้าของ โดยมีนายอัศนี พลจันทร และนายเสนาะ พาณิชเจริญ เป็นผู้ดูแลการผลิตหนังสือพิมพ์ และใช้ชื่อนายแพทย์เจริญ สืบแสง จดทะเบียนเป็นเจ้าของผู้พิมพ์โฆษณา
หนังสือพิมพ์ "การเมือง" ดำเนินการรณรงค์สันติภาพด้วยการเรียกร้องให้ลงชื่อสนับสนุนข้อเรียกร้อง สันติภาพสตอกโฮล์ม ภายใน 5 สัปดาห์สามารถระดมรายชื่อได้ถึง 38,315 รายชื่อ ซึ่งกว่า 2,000 ชื่อในนั้นมาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และในเวลา 2 เดือนก็สามารถหารายชื่อได้มากกว่า 150,000 รายชื่อ
ต่อมาในวันที่ 22 เมษายน 2494 มีการจัดประชุมลับบนเรือที่ล่องไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา ประมาณ 30 คน โดยมีตัวแทนจากหลากหลายอาชีพ ทั้งพระ ชาวนา นักหนังสือพิมพ์ นักศึกษา และกรรมกร ที่ประชุมมีมติให้จัดตั้ง "คณะกรรมการสันติภาพ" ขึ้น โดยมีนายแพทย์เจริญ สืบแสง เป็นประธาน นายกุหลาบ สายประดิษฐ์ และพระมหาดิลก สุวรรณรัตน์ เป็นรองประธาน นาย ส.โชติพันธุ์ (สิบโทเริง เมฆประเสริฐ) เป็นเลขาธิการ ตั้งขึ้นเพื่อต่อต้านสงครามในคาบสมุทรเกาหลี ต่อต้านรัฐบาลสหรัฐอเมริกาซึ่งสนับสนุนสงครามเกาหลี เรียกร้องให้รัฐบาลไทยถอนตัวจากสงครามเกาหลี และกำลังเตรียมตัวเข้าร่วมประชุมกับนานาชาติในประเทศจีน
นอกจากนั้นมีการจัดตั้ง "คณะกรรมการสันติภาพนักศึกษา" ขึ้นในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีนายทวีป วรดิลก และนายอาทร พุทธิสมบูรณ์ เป็นเลขานุการ ซึ่งก่อนหน้านั้นในวันที่ 13 มีนาคม 2495 มีพระราชบัญญัติประกาศเปลี่ยนชื่อจาก "มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง" เหลือเพียง "มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์" เฉยๆ พร้อมกับยกเลิกตำแหน่ง "ผู้ประศาสน์การ" เพื่อถอดถอนนายปรีดี พนมยงค์ และตั้งตำแหน่ง "อธิการบดี" ขึ้นมาแทน โดยมี จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี เป็นอธิการบดีคนแรก (2495-2500)
แต่แล้วในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2495 รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ดำเนินการจับกุมผู้ต้องสงสัยเป็นจำนวนมาก รวมทั้งนายประสิทธิ์ เทียนศิริ ซึ่งมีข่าวว่าเป็นสมาชิกคนสำคัญของ "พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย" ได้โดยบังเอิญเช่นนี้ ทำให้เกิดการขยายผลการจับกุมไปสู่ขบวนการสันติภาพใน 3 วันต่อมา ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการกดดันของสหรัฐและอังกฤษว่ารัฐบาลไทยไม่ให้ความสำคัญต่อปัญหาคอมมิวนิสต์ตามที่มหาอำนาจผู้ชนะสงครามทั้งสองต้องการ
บรรดาบุคคลที่เข้าร่วมสนับสนุนการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องสันติภาพและถูกจับกุมในครั้งนี้มีหลากหลายกลุ่มรวมทั้งสิ้น 104 คน ประกอบไปด้วยนักเขียนหนังสือพิมพ์ที่มีชื่อเสียง อาทิ นายกุหลาบ สายประดิษฐ์ นายอารีย์ ลีวีระ เจ้าของหนังสือพิมพ์สยามนิกร, นายสุภา ศิริมานนท์ เจ้าของและบรรณาธิการนิตยสารอักษรสาส์น, นายอุทธรณ์ พลกุล บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ข่าวภาพ, นายแสวง ตุงคะบริหาร บรรณาธิการหนังสือพิมพ์สยามนิกร, นายบุศย์ สิมะเสถียร บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไทย, นายฉัตร บุณยศิริชัย บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ข่าวภาพ, นายสมุทร สุรักขกะ บรรณาธิการหนังสือพิมพ์เกียรติศักดิ์, นายสมัคร บุราวาศ, นายเปลื้อง วรรณศรี ฯลฯ และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองต่อต้านรัฐบาล อาทิ นายมารุต บุนนาค ประธานกรรมการสโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, นายลิ่วละล่อง บุนนาค (ผู้นำนักศึกษา), นายสุวัฒน์ วรดิลก (นักประพันธ์), นายฟัก ณ สงขลา (ทนายความ), นายสุ่น กิจจำนงค์ เลขาธิการสมาคมสหอาชีวกรรมกร, นายสุพจน์ ด่านตระกูล ฯลฯ ต่อมามีการจับกุมเพิ่มเติม อาทิ ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ (ภริยารัฐบุรุษอาวุโส-นายปรีดี พนมยงค์), นายปาล พนมยงค์, นายสุภัทร สุคนธาภิรมย์, พลตรีเนตร เขมะโยธิน เป็นต้น บรรดาผู้ที่ถูกจับกุมนั้นเป็นที่ทราบกันว่าเป็นผู้ที่มีความคิดเห็นไม่ตรง กับรัฐบาล บางรายกำลังเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลอย่างลับๆ
ทั้งนี้ รัฐบาลออกประกาศโดยอาศัยอำนาจตามความในกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 มาตรา 102, 104, 177, 181 และ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2478 มาตรา 4 ในการจับกุมครั้งนี้กรมตำรวจได้ออกแถลงการณ์ในวันที่ 10 พฤศจิกายนว่า "ด้วยปรากฏจากการสอบสวนของกรมตำรวจว่ามีบุคคลคณะหนึ่งได้สมคบกันกระทำผิดกฎหมาย ด้วยการยุยงให้มีการเกลียดชังกันในระหว่างคนไทย เพื่อก่อให้เกิดการแตกแยก เกิดการทำลายกันเอง โดยใช้อุบายต่างๆ เช่น ปลุกปั่นแบ่งชั้น เป็นชนชั้นนายทุนบ้าง ชนชั้นกรรมกรบ้าง ชักชวนให้เกลียดชังชาวต่างประเทศที่เป็นมิตรของประเทศบ้าง อันเป็นการที่อาจจะทำให้เสื่อมสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ ยุยงให้ทหารที่รัฐบาลส่งออกไปรบในเกาหลีตามพันธะที่รัฐบาลมีอยู่ต่อองค์การสหประชาชาติให้เสื่อมเสียวินัย เมื่อเกิดการปั่นป่วนในบ้านเมืองได้ระยะเวลาเหมาะสมแล้วก็จะใช้กำลังเข้าทำ การเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบอื่นซึ่งมิใช่ระบอบประชาธิปไตย ด้วยการชักจูงชาวต่างประเทศเข้าร่วมทำการยึดครองประเทศไทย..." และในวันที่ 13 พฤศจิกายน รัฐบาลได้เร่งรัดผ่าน พ.ร.บ.คอมมิวนิสต์ผ่านรัฐสภา 3 วาระรวด เพื่อนำมาลงโทษผู้ต้องหากลุ่มนี้โดยเฉพาะ
ในวันที่ 14 ธันวาคม หรือ 2 วันหลังจากถูกตำรวจเรียกตัวออกจากรัฐสภา มีผู้พบศพนายเตียง ศิริขันธ์, นายเล็ก บุนนาค, นายผ่อง เขียววิจิตร, นายสง่า ประจักษ์วงศ์ และนายชาญ บุนนาค ถูกสังหารและนำไปเผาทิ้งที่ ต.แก่งเสี้ยน อ.เมือง จ.กาญจนบุรี
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2496 ผู้ต้องหาทั้งหมดถูกนำตัวขึ้นศาลในข้อหากบฏ เนื่องจากไม่สามารถนำข้อหาคอมมิวนิสต์มากล่าวโทษย้อนหลังได้ ใช้เวลากว่า 2 ปี จึงมีคำพิพากษาว่าจำเลยทุกคน เว้นนายมงคล ณ นคร, นายเปลื้อง วรรณศรี, นายสัมผัส พึ่งประดิษฐ์, นายสิงห์ชัย บังคดานรา และนายฮางเฮ้า แซ่โง้ว เป็นผู้กระทำผิดจริงตามข้อกล่าวหา ให้จำคุกเป็นเวลา 13 ปี 4 เดือน ยกเว้นนายณรงค์ ชัยชาญ ถูกจำคุก 20 ปี เพราะไม่ยอมให้ปากคำ
ต่อมาในวันที่ 9 มีนาคม นายอารีย์ ลีวีระ เจ้าของหนังสือพิมพ์สยามนิกรและพิมพ์ไทย ซึ่งหลังจากถูกปล่อยตัวเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ก็ได้เข้าพิธีมงคลสมรสกับนางสาวกานดา บุญรัตน์ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ และเดินทางไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่ชายทะเลบ้านหนองแก อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ถูกยิงเสียชีวิตที่เรือนพัก โดยตำรวจยศสิบตำรวจโทและพลตำรวจอีก 4 นาย จากกองกำกับการจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งอ้างคำสั่งของ พ.ต.ท.ศิริชัย กระจ่างวงศ์ หนึ่งในนายตำรวจอัศวินแหวนเพชร ลูกน้องของ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ (ประกาศ วัชราภรณ์ ทำเนียบคนหนังสือพิมพ์, กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช พ.ศ. 2506)
พิมพ์ครั้งแรก โลกวันนี้ ฉบับวันสุข วันที่ 19-25 กันยายน 2552
คอลัมน์ พายเรือในอ่าง ผู้เขียน อริน