Article  :  Political   :  Forum  :  Facebook  :  Youtube

วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2554

2475-2549 โปรดฟังอีกครั้ง (26)

รัฐประหารตัวเอง 2494:
อำนาจที่แบ่งให้กันไม่ได้

การรัฐประหาร 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 ของคณะทหารที่เรียกตนเองว่า "คณะบริหารประเทศชั่วคราว" ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกของการ "รัฐประหารตัวเอง" หรือเป็นการ "ยึดอำนาจของตัวเอง" เพื่อจัดการกับ "หนามยอกอก" หรืออาการ "ขัดขา" ในการบริหารราชการแผ่นดิน ของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี อ้างว่าไม่ได้รับความสะดวกในการบริหารราชการแผ่นดิน อันมีสาเหตุมาจากรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2492

การกลับมาของจอมพล ป.ขึ้นสู่อำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรีครั้งที่สอง ในเดือนเมษายน 2491 มีผลทันทีในการเผชิญหน้ากันของสองขั้วอำนาจระหว่างกลุ่มอนุรักษ์นิยม กับผู้นำคณะรัฐประหารซึ่งอีกสถานะหนึ่งเป็นสมาชิกคณะราษฎร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐธรรมนูญ 2492 ซึ่งในการศึกษาทางรัฐศาสตร์ถือว่าเป็น "รัฐธรรมนูญกษัตริย์นิยม" โดยผู้ร่างส่วนใหญ่เป็นขุนนางในระบอบเก่าและนักกฎหมายอนุรักษ์-กษัตริย์นิยม คณะ กรรมการร่างรัฐธรรมนูญนี้ ประกอบด้วย เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ, พระยาศรีวิสารวาจา, พระยาเทพวิทุรพหุลศรุตาบดี, พระยาอรรถการียนิพนธ์, หลวงประกอบนิติสาร, หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช, นายสุวิชช์ พันธเศรษฐ, และนายเพียร ราชธรรมนิเทศ (ณัฐพล และ รศ.ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ใน รัฐประหาร พ.ศ. 2494, ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า) มีเนื้อหาลดทอนอำนาจของคณะรัฐประหารอย่างชัดเจน

จุดใหญ่ใจความของรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2492 ที่ถือเป็น "หนามยอกอก" ของคณะรัฐประหารนับจากปี 2490 นั้นอยู่ที่รัฐสภาอันประกอบด้วยสมาชิกของทั้ง 2 สภามีจำนวนเท่ากัน ซึ่งก็คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมาจากการเลือกตั้ง และสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งมาจากการแต่งตั้ง และแม้ว่าคณะทหารจะสามารถตั้งสมาชิกเข้าไปเป็นเสียงส่วนใหญ่ในวุฒิสภาได้ก็ตาม แต่ถึงกระนั้นความสำคัญเบื้องต้นก็อยู่ที่สภาผู้แทนราษฎร ดังกรณีการเสนอร่างกฎหมายก็ต้องผ่านสภาผู้แทนก่อนแล้วจึงไปผ่านวุฒิสภา ทั้งยังยึดหลักการแยกข้าราชการประจำกับการเมืองจากกันอย่างเด็ดขาด โดยห้ามดำรงตำแหน่งพร้อมกันทั้ง 2 ฝ่าย

สำหรับทางด้านการคุมเสียงในสภาผู้แทนราษฎร บนพื้นฐานที่รัฐบาลไม่มีพรรคการเมืองเป็นของตนเอง อาศัยเพียงการรวบรวมเสียงจากพรรคการเมืองต่างๆหลากหลาย ในนาม "สหพรรค" เพื่อสนับสนุนรัฐบาล ปัญหาในการผ่านญัตติหรือพิจารณากฎหมายจึงเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ส่วนวุฒิสภาซึ่งได้รับการแต่งตั้งตังแต่สมัย นายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญควบคุมการบริหารงานของรัฐบาลอย่างเต็มที่ นับแต่การยับยั้งร่างพระราชบัญญัติ การตั้งกระทู้ถามและการเปิดอภิปรายทั่วไป การอภิปรายโจมตีว่ารัฐบาลทำการปราบกบฎแมนฮัตตันรุนแรงเกินกว่าเหตุ

รัฐบาลที่มีที่มาจากการรัฐประหารเห็นว่าหากใช้รัฐธรรมนูญ 2475 จะทำให้สามารถคุมเสียงในรัฐสภาได้ง่ายกว่า เนื่องกำหนดให้มีเพียงสภาเดียว แต่มี ส.ส. 2 ประเภท ประเภท 1 มาจากการเลือกตั้ง ประเภท 2 มาจากการแต่งตั้ง การร่างกฎหมายก็ผ่านสภาครั้งเดียว แต่การจะทำดังนั้นได้ก็ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2492 ซึ่งต้องผ่านการเห็นชอบของทั้ง 2 สภา สภาวุฒิสภาคงไม่มีปัญหามาก แต่สภาผู้แทนคงไม่ยอมแน่ คณะรัฐประหารซึ่งมี พล.อ.ผิน ชุณหะวัณ ผู้บัญชาการทหารบกเป็นหัวหน้า จึงตัดสินใจเลือกวิธีที่ยุ่งยากน้อยกว่า โดยการการยึดอำนาจ (ตนเอง) เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 ประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญเก่าและใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เรียกว่า "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495" (ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2495 และถูก "ฉีกทิ้ง" เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2501 โดยการรัฐประหารของคณะรัฐประหาร ซึ่ง จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารบกเป็นหัวหน้า รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 6 ปี 7 เดือน 12 วัน) กลับไปใช้ระบบ ส.ส. ประเภท 1 และประเภท 2 เหมือนที่เคยใช้มาเมื่อยังใช้รัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475

การยึดอำนาจกระทำโดยไม่ใช้การเคลื่อนกำลังใดๆ เพียงแต่เป็นประกาศการยึดอำนาจทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยโดย "คณะบริหารประเทศชั่วคราว" ประกอบด้วย 1.พล.อ.ผิน ชุณหะวัณ 2.พล.ท.เดช เดชประดิยุทธ์ 3.พล.ท.สฤษดิ์ ธนะรัชต์ 4.พล.ร.ต.หลวงยุทธศาสตร์โกศล 5.พล.ร.ต.หลวงชำนาญอรรถยุทธ 6.พล.ร.ต.สุนทร สุนทรนาวิน 7.พล.อ.อ.ฟื้น รณนภากาศ ฤทธาคนี 8.พล.อ.ท.หลวงเชิดวุฒากาศ 9.พล.อ.ท.หลวงปรุงปรีชากาศ

ทั้งนี้ข้ออ้างสุดคลาสสิกในการยึดอำนาจการปกครองโดยกลุ่มนายทหารชั้นสูงของกองทัพ และยังคงถูกนำมาใช้สืบเนื่องเป็น "ใบปะหน้า" การทำรัฐประหารในเวลาต่อมา จนแม้เมื่อ 19 กันยายน 2549 ก็คือ "เนื่อง จากสถานการณ์ของโลกในปัจจุบันตกอยู่ในความคับขันทั่วไป ภัยแห่งคอมมิวนิสต์ได้ถูกคุกคามเข้ามาอย่างรุนแรง ในคณะรัฐมนตรีปัจจุบันนี้ก็ยังดี ในรัฐสภาก็ดี มีอิทธิพลของคอมมิวนิสต์เข้าแทรกซึมอยู่เป็นอันมาก แม้ว่ารัฐบาลจะทำความพยายามสักเพียงใด ก็ไม่สามารถจะแก้ปัญหาเรื่องคอมมิวนิสต์ได้ ทั้งไม่สามารถปราบการทุจริตที่เรียกว่า คอร์รัปชั่น ดังที่มุ่งหมายว่าจะปราบนั้นด้วย ความเสื่อมโทรมมีมากขึ้น จนเป็นที่วิตกกันทั่วไปว่า ประเทศชาติจะไม่สามารถดำรงอยู่ได้ในสถานการณ์การเมืองอย่างนี้"

ผลพวงสำคัญจากการรัฐประหารเงียบนี้ ส่งให้ จอมพล ป.ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราวพร้อมคณะรัฐมนตรีชั่วคราวจำนวน 17 คนในวันยึดอำนาจ 29 พฤศจิกายนนั้นเอง ถัดมาอีก 1 วัน “คณะบริหารประเทศชั่วคราว” ประกาศแต่งตั้งสมาชิกสภาประเภทที่สองจำนวน 123 คน ซึ่งเปิดประชุมสภาทันทีในวันที่ 1 ธันวาคม เพื่อลงมติเลือกจอมพล ป. เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ในเวลาต่อมาพรรคประชาธิปัตย์ได้ประกาศคว่ำบาตรรัฐบาลทุกประการ

สำหรับรัฐธรรมนูญฉบับ 2495 ที่เป็นผลพวงของความพยายามในการการประนีประนอม ระหว่างอำนาจใหม่กับอำนาจเก่า สมาชิกคณะผู้ร่างประกอบด้วย เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ, พระยาศรีวิสารวาจา, พระยาเทพวิทุร, หลวงประกอบนิติสาร, นายเพียร ราชธรรมนิเทศ, พระยาอรรถการีย์นิพนธ์, หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช, นายสุวิชช์ พันธ์เศรษฐ และ นายหยุด แสงอุทัย ทั้งนี้ฝ่ายรัฐบาลทหารยอมให้คงไว้เพียงสาระบางประการใน "รัฐธรรมนูญกษัตริย์นิยม" เท่านั้น เช่น การให้คงมีคณะองคมนตรีที่ทรงตั้งตามพระราชอัธยาศัยต่อไป แต่ไม่ปรากฏข้อความให้ทรงสามารถเลือกและแต่งตั้งวุฒิสภาด้วยพระองค์เองดังเดิม นั่นคือ รัฐธรรมนูญฉบับ 2495 นี้เป็นการจำกัดอำนาจพระมหากษัตริย์ไว้เพียงในขอบเขตกิจการส่วนพระองค์เท่านั้น แต่ไม่เปิดช่องทางให้ทรงใช้อำนาจผ่านทางรัฐสภาได้อีก.


พิมพ์ครั้งแรก โลกวันนี้ ฉบับวันสุข วันที่ 12-18 กันยายน 2552
คอลัมน์ พายเรือในอ่าง ผู้เขียน อริน
ร่วมสนับสนุนการเขียนและเผยแพร่ความคิด และกิจกรรมได้โดยโอนเงินไปที่

บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกรุงไทย สาขาเทสโก้โลตัส วังหิน
ชื่อบัญชี วัฒนา สุขวัจน์
บัญชีเลขที่ 986-2-87758-8