Article  :  Political   :  Forum  :  Facebook  :  Youtube

วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2561

กบฏไพร่ กบฏชาวนาในสยาม-ไทย (29)

การจัดราชการเมืองแขก 7 หัวเมือง:
ว่าด้วยจุดยืนของราชสำนักสยาม (1)

กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย (แถวยืน กอดพระอุระ) 

สถานะและวิกฤตการณ์หลายครั้งในพื้นที่ "หัวเมืองมลายู" หรือที่ปัจจุบันเรียกว่า "จังหวัดชายแดนภาคใต้" มีความผันแปรมานับจากสมัยอยุธยาก็จริง หากที่ส่งอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของประชาชนเชื้อชาติมลายูสืบเนื่องมาถึงปัจจุบันนั้น ย่อมไม่อาจละลืมการศึกษาประวัติศาสตร์ยุคใกล้นับจากการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ภายหลังการ "สำเร็จโทษ" พระเจ้ากรุงธนบุรี เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 และดังได้กล่าวแล้วถึงเหตุการณ์ในปี พ.ศ. 2328

ในการศึกษาประวัติศาสตร์ของฝ่ายไทย อาณาเขตของกรุงสุโขทัย ทางทิศใต้จดแหลมมลายู จากหลักฐานศิลาจารึกสมัยพ่อขุนรามคำแหง ประมาณปี พ.ศ. 1837 เรียกหัวเมืองชายแดนภาคใต้ว่า "หัวเมืองมลายู" ซึ่งประกอบด้วย เมืองไทรบุรี, กลันตัน, ตรังกานู, และเมืองปัตตานี (รวมทั้งพื้นที่ปัจจุบันของจังหวัดยะลาและนราธิวาส)

ทั้งนี้ นับจากรัชสมัยของปฐมกษัตริย์ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 หรือ พระเจ้าอู่ทอง ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีของอาณาจักรอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. 1893 จึงมีหลักฐาน (ฝ่ายไทย) ว่าอาณาเขตทางทิศใต้จดมลายาและชวา เมื่อพระยาไสลือไท (พระมหาธรรมราชาที่ 4) เสด็จสวรรคต ราชวงศ์พระร่วงที่ครองกรุงสุโขทัยก็ตกต่ำลง พระราชโอรสสองพระองค์ คือ พระยาบาลเมืองและพระยารามแย่งชิงราชสมบัติกัน เป็นเหตุให้สมเด็จพระอินทราชา (เจ้านครอินทร์) พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ต้องเสด็จขึ้นไปถึงเมืองพระบาง แล้วทรงไกล่เกลี่ยให้พระยาบาลเมืองเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยครองเมืองเมืองพิษณุโลกอันเป็นเมืองหลวง และให้พระยารามเป็นเจ้าเมืองสุโขทัยอันเป็นเมืองเอก พระยาบาลเมืองจึงได้รับอภิเษกให้ครองกรุงสุโขทัยในฐานะประเทศราชของกรุงศรีอยุธยา ทรงพระนามว่า พระมหาธรรมราชาที่ 4 หรือ บรมปาล หรือ พระยาบาลเมือง หรือ พระเจ้าสุริยวงศ์บรมปาลมหาธรรมราชา (ครองราชย์ในช่วง พ.ศ. 1962-1989 และประทับที่เมืองพิษณุโลก) และเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์พระร่วง

ต่อมาในปี พ.ศ. 2310 เมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาให้กับพม่า หัวเมืองมลายูทั้ง 4 จึงตั้งตัวเป็นอิสระจากไทยมาตลอดสมัยกรุงธนบุรี

กระทั่ง พ.ศ.2328 สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ทรงให้เดินทัพไปตีหัวเมืองปัตตานี และรวบรวมหัวเมืองทางใต้ ทั้ง 4 เข้ามาอยู่ในความปกครองของไทยอีกครั้งหนึ่ง โดยให้มีการปกครองแบบอิสระ แต่ต้องส่งเครื่องบรรณาการให้กับเมืองหลวง (กรุงเทพ) 3 ปีต่อครั้ง หากไม่ส่งจะถือว่าเป็นกบฏ และได้จัดระเบียบการปกครองบริหารราชการแผ่นดินขึ้นใหม่ ในขั้นต้นให้เมืองไทรบุรีและเมืองกลันตัน อยู่ในความควบคุมดูแลของเมืองนครศรีธรรมราช เมืองปัตตานี ตรังกานู อยู่ในความควบคุมดูแลของเมืองสงขลา

ครั้นเมื่อเมืองสงขลาตกอยู่ภายใต้อำนาจของเมืองปัตตานี ในปี พ.ศ.2334 หลังจากนั้น มีความพยายามที่จะแยกการปกครองจากราชสำนักศักดินาสยาม (ระบอบจตุสดมภ์) หลายครั้ง กระทั่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่พระมหากษัตริย์ที่พระราชอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเหนือพระราชอาณาจักร สำหรับการปกครองส่วนท้องถิ่นที่เรียกว่า "การปฏิรูประเบียบบริหารราชการแผ่นดิน" นั้น จาก เอกสารรัชกาลที่ 5 ม.49/27 เรื่องผลประโยชน์เมืองหนองจิกและเมืองแขก 7 เมือง (ที่มา กองจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร http://www.geocities.com/bluesing2001) ว่าด้วย "คำกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ของกรมหมื่นดำรงราชานุภาพ เรื่องการจัดราชการเมืองแขก 7 หัวเมือง" มีรายละเอียดที่น่าสนใจ ซึ่งยังผลต่อเนื่องไปสู่ "ขบถเจ้าแขกเจ็ดหัวเมือง" ดังนี้
***********
ไปรเวต ที่ 262/43047 วันที่ 4 มีนาคม รัตนโกสินทรศก 114
ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าฯ

ด้วยในการที่พระเสนีพิทักษ์จะออกไปราชการเมืองสงขลาคราวนี้ คำสั่งในส่วนทางราชการ จะได้รับพระราชทาน ให้เป็นข้าหลวงพิเศษ ออกไปไต่สวนความต่างๆ ซึ่งยังค้างอยู่ในหัวเมืองแขก 7 หัวเมือง มีข้อความแจ้งอยู่ในสำเนาตราพระราชสีห์ ซึ่งได้ทูลเกล้าถวายต่างหากอีกส่วนหนึ่งแล้ว

แต่คำสั่งราชการลับ ซึ่งเป็นท้องเรื่องราชการในหน้าที่พระเสนีพิทักษ์ ข้าพระพุทธเจ้าคิดด้วยเกล้าฯ ว่าจะได้ชี้แจงให้พระเสนีพิทักษ์เป็นที่เข้าเข้าใจพระบรมราชประสงค์ โดยใจความดังนี้ คือ

1. หัวเมืองแขก 7 หัวเมือง คือ ตานี 1 ยะหริ่ง 1 สายบุรี 1 รามัน 1 ระแงะ 1 ยะลา 1 หนองจิก 1 รวม 7 หัวเมืองนี้ เดิมรวมเป็นเมืองตานีเมืองเดียว อยู่มาครั้งหนึ่ง เมืองตานีเป็นขบถ กองทัพไทยลงไปปราบปรามมีชัยชนะ จึงโปรดฯ ให้แยกเขตแดนเมืองตานีออกเป็น 7 หัวเมือง คงเรียกว่าเมืองประเทศราชเหมือนกัน แต่ให้อยู่ในบังคับบัญชาเมืองสงขลา สิทธิขาดคล้ายกับเมืองขึ้น ใช่แต่เท่านั้น ยังตั้งข้าราชการไทย ซึ่งเป็นบุตรหลานเชื้อวงศ์พระยาสงขลาในครั้งนั้น ลงไปเป็นพระยาเจ้าเมืองแขกเหล่านี้หลายหัวเมือง โดยความประสงค์ของราชาธิปไตยในเวลานั้น จะไม่ให้เมืองตานีมีกำลังใหญ่โต ซึ่งอาจจะก่อการขบถได้ดังแต่ก่อน และจะขยายอำนาจไทย ที่จะบังคับบัญชาการออกไปในหัวเมืองแขกให้สิทธิขาด การที่จัดในครั้งนั้นว่าโดยย่อคือ ตั้งใจที่จะเอกเมืองตานี ที่เป็นประเทศราชใหญ่อยู่แต่ก่อน กระจายออกเป็นหัวเมืองไทย ขึ้นเมืองสงขลา ดังนี้เป็นใจความ

2. ครั้นต่อมา อาศัยความเพิกเฉยของราชาธิปไตย และการที่พระยาสงขลาต่อๆ มา ตั้งหน้าแสวงหาประโยชน์ และอำนาจส่วนตนยิ่งกว่าประโยชน์ในราชการ การบังคับบัญชาว่า หัวเมืองแขก 7 เมืองนี้ จึงผันแปรจากความคิดเดิม ของราชาธิปไตยมาโดยลำดับ กล่าวคือ การตั้งแต่ผู้ว่าราชการเมือง ก็ตกลงยังเป็นเลือกสรรแขกในหัวเมืองเหล่านั้น ตั้งเป็นผู้ว่าราชการเมือง และสืบต่อวงศ์ตระกูลกันตามทำนอง เมืองประเทศราช ที่เป็นเมืองใหญ่อยู่โดยมาก ยังมีไทยเป็นเจ้าเมืองอยู่ แต่เมืองหนองจิกเมืองเดียว ส่วนการที่จะทำนุบำรุงอันใดออกไปจากเมืองสงขลาเป็นอันไม่มี พระยาสงขลาคงเป็นธุระ แต่การที่จะชำระความ ที่มีผู้ฟ้องร้องอุทธรณ์ผู้ว่าราชการเมืองแขก 7 หัวเมือง กับที่จะเบียดเบียนเก็บผลประโยชน์ต่างๆ จากหัวเมืองแขกเหล่านี้ มาเป็นอาณาประโยชน์ของผู้ว่าราชการเมืองสงขลา ด้วยวิธีกะเกณฑ์ต่างๆ ตามที่อยู่เวลานี้คือ

  1. ผู้ว่าราชการเมืองแขกเหล่านี้ ต้องแบ่งส่วนในภาษีอากรต่างๆ ให้พระยาสงขลา เมืองละมากบ้างน้อยบ้างตามกำลัง
  2. พระยาสงขลาแต่งให้นายหมวด นายกอง ออกไปตั้งควบคุมผู้คน บางหมู่บางเหล่าในเมืองเหล่านั้น เก็บเงินส่งมาเป็นอาญาประโยชน์ที่เมืองสงขลา
  3. พระยาสงขลามีที่ดินซึ่งเกิดประโยชน์ต่างๆ เช่น บ่อแร่ดีบุก เป็นต้น อยู่ในหัวเมืองเหล่านั้น และเก็บเงินจากที่เหล่านี้ เป็นอาณาประโยชน์หลายตำบล
  4. การกะเกณฑ์ขอร้องเบ็ดเตล็ดต่างๆ บางมื้อบางคราวก็มีอยู่

(ยังมีต่อ)


พิมพ์ครั้งแรก โลกวันนี้ ฉบับวันสุข 2-8 มีนาคม 2556
คอลัมน์ พายเรือในอ่าง ผู้เขียน อริน
ร่วมสนับสนุนการเขียนและเผยแพร่ความคิด และกิจกรรมได้โดยโอนเงินไปที่

บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกรุงไทย สาขาเทสโก้โลตัส วังหิน
ชื่อบัญชี วัฒนา สุขวัจน์
บัญชีเลขที่ 986-2-87758-8