ปรากฏการณ์เปลี่ยนสีแปรธาตุ
ที่มีลักษณะทั่วไปของคนเดือนตุลาฯ
[ปรับปรุง]
ที่มีลักษณะทั่วไปของคนเดือนตุลาฯ
[ปรับปรุง]
มีคนเคยตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นสิบปีมาแล้ว ว่าทำไมคนเดือนตุลา (มหาอุบาทว์) ถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาด "ตี กลับ"; คำอธิบายชั้นต้นก็คือ คนเหล่านั้นไม่เคยเปลี่ยนธรรมชาติของตน นั่นคือธาตุแท้ความเป็น "ปัญญาชนชนชั้นนายทุนน้อย"; สิ่งนี้เกิดขึ้นในขบวนแถวการปฏิวัติ เสมอมาตลอดประวัติศาสตร์ นั่นคือ "การแกว่ง" ระหว่าง 2 ขั้วที่สุดโต่ง ที่เรียกกันว่า "ลัทธิฉวยโอกาส" กล่าวคือ
ลักษณะที่หนึ่ง ในยามที่การปฏิวัติขึ้นสู่กระแสสูง มวลชนตื่นตัวกันมหาศาล ดูเหมือนจะมีชัยชนะโดยเร็ว คนพวกนี้จะ "ฉวยโอกาสเอียงซ้าย" พูดง่ายๆคือ "แดงเกินหน้าสถานการณ์และมวลชน" ศิลปินจำนวนหนึ่งผลิตงาน "ซ้ายจัด" โดยอาศัยกลวิธีและประสบการณ์ทางศิลปะ สร้างงานที่แฝงด้วยลักษณะ "ปลอมปน"
ลักษณะที่สอง ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่ง ยามที่การปฏิวัติลดลงสู่กระแสต่ำ จากการถูกกดดัน ปราบปราม หรือมีความพ่ายแพ้ทางยุทธวิธี เกิดขึ้นต่อเนื่อง เกิดความคิด "เล็งผลร้าย" ในขบวนปฏิวัติ คนประเภทนี้ส่วนหนึ่งจะเกิดความคิดถดถอย เรียกหา "สันติภายใต้เงื้อมเงาฝ่ายปฏิกิริยา" อีกส่วนหนึ่งเกิดภาวะ "เปลี่ยนสีแปรธาตุ" ไปยืนอยู่ฝ่ายศัตรูประชาชน ลักษณะนี้เรียกว่า "ฉวยโอกาสเอียงขวา"
นักปฏิวัติที่แท้จริงในฝ่ายประชาชนจะไม่ถลำลึกไปสู่ "ลัทธิฉวยโอกาส" ทั้ง 2 ขั้ว ปมเงื่อนสำคัญคือ ยึดกุมจุดยืน อุดมการณ์ ทิศทาง และจังหวะก้าวตามสภาวการณ์หนึ่งๆ ได้อย่างมั่นคง
ณ วันนี้มี "อดีต" สมาชิกพรรคฯ จำนวนมาก "เปลี่ยนสีแปรธาตุ" กันไปมากแล้ว
มีแต่มวลชนที่เป็นรากหญ้า หรือนัยหนึ่งคนชั้นล่างที่เป็นพลังปฏิวัติแท้ๆเท่านั้นที่ไม่ไปไหน... และนี่คือสัจธรรมอย่างหนึ่งในการปฏิวัติ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิวัติประชาธิปไตย หรือการปฏิวัติสังคมนิยม
สรุปก็คือ ท่าทีสำหรับ "พวกเปลี่ยนสีแปรธาตุ" และปรากฏการณ์การทำข้อตกลงที่เกิดจากการทรยศต่อประชาชนและต่อการปฏิวัติ คือ "ช่างหัวแม่มัน!"
*****************************************
ช่วงแห่งการเดินทางไกลไปสู่เขตป่าเขา เข้าร่วมต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย คือ "กระแสสูง"; หลังนโยบาย 66/23 เริ่มจากปลายไตรมาสแรกของปี 2524 จนถึงปี 2528 เกิดปรากฏการณ์ "ป่าแตก" ช่วงนี้เองที่เกิด "การแกว่ง" และ "กระแสต่ำ" ในที่สุดการสลาย "ความคิดปฏิวัติ" ก็เกิดขึ้นทั่วขบวนปฏิวัติ "ประชาชาติประชาธิปไตย" ส่วนหนึ่งถดถอยไปสู่ความเป็น "สีขาว" ส่วนอีกพวกหนึ่งกระโจนเข้าการเป็น "ผู้ปฏิบัติงาน" ที่เอาการเอางานในฝ่ายปฏิกิริยา เช่น ฯลฯ
การเคลื่อนไหวพฤษภาทมิฬ นั้นมีอดีตคนเดือนตุลาเข้าร่วมฝ่ายประชาธิปไตยอยู่ไม่น้อย แต่มาถึงช่วง 26 กุมภาพันธ์ 2549 จำนวนที่ว่าลดลงมาก เพราะส่วนหนึ่งที่ค่อนข้างเป็นกลุ่มก้อนที่ค่อนข้างใหญ่ กระโดดไปยืนอยู่ฝ่ายต่อต้าน "ทุนนิยมสามานย์" จนมาถึงหลัง "โจรกบฏ 2549" ฝ่ายประชาธิปไตยกลายเป็นกลุ่มคนจำนวนน้อยในคนเดือนตุลาไปเสียแล้ว.
*****************************************
"วีรชนประชาชน" ไม่ใช่ "วีรชนเอกชน"
นั่นคือ หมดยุค "คนเก่งที่เป็นตัวบุคคล" แล้ว ผู้นำที่โดดเด่นไม่มีทางนำพาการต่อสู้ไปสู่ชัยชนะได้ มีแต่ "การนำรวมหมู่" บนพื้นฐาน "รับฟัง/เคารพความเห็นทั้งที่เหมือนและแตกต่าง" เท่านั้น ชัยชนะจึงจะอยู่แค่เอื้อม
ที่สำคัญ ในเวลานี้ ความเรียกร้องต้องการของขบวนประชาธิปไตยคือ "การสันทัดในการฟัง"
ปรับปรุงจากการแลกเปลี่ยนความเห็นใน Facebook วันที่ 9-10 กรกฎาคม 2553