จาก "หอย" สู่ "อินทรีแห่งทุ่งบางเขน":
รัฐบาลพลเรือนหรือจะสู้รัฐบาลทหาร
รัฐบาลพลเรือนหรือจะสู้รัฐบาลทหาร
การดำเนินคดี "กบฏ 20 มีนาคม 2520" เป็นไปอย่างรวดเร็วและเฉียบขาด ในวันที่ 21 เมษายน 2520 รัฐบาลได้ใช้อำนาจตามมาตรา 21 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับที่ 11) พุทธศักราช 2519 ตัดสินลงโทษโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมปกติ มีคำสั่งให้ถอดยศและประหารชีวิตนายฉลาด หิรัญศิริ และจำคุกตลอดชีวิตผู้ก่อการที่เหลืออีก 4 คน ซึ่งต่อมาได้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตเพิ่มอีก 8 คน รวมเป็น 12 คน นอกจากนั้นยังมีผู้ได้รับโทษลดหลั่นลงมาอีก 11 คน ซึ่งในจำนวนนี้มีพลเรือนที่พลเอกฉลาดชักชวนมา อาทิ นายพิชัย วาสนาส่ง, นายสมพจน์ ปิยะอุย, นายวีระ มุสิกพงศ์ ภายหลังทั้งหมดได้รับการนิรโทษกรรมเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2520
ส่วนพล.ต.อรุณ ทวาทวศิน ได้รับการเลื่อนยศหลังจากการเสียชีวิตให้เป็นพลเอก
หลังจากนั้น รัฐบาลจัดให้มีการสอบสวน จอมพล ถนอม กิตติขจร กับพวก ในข้อหากระทำผิดฐานสั่งฆ่านิสิต นักศึกษา ประชาชน ในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 ปรากฏว่ามีคำสั่งไม่ฟ้อง จอมพล ถนอม กิตติขจร จอมพล ประภาส จารุเสถียร และพ.อ.ณรงค์ กิตติขจร เนื่องจากไม่มีพยานว่าบุคคลทั้งสามสั่งฆ่าประชาชนทั้งคำสั่งด้วยวาจาหรือลาย ลักษณ์อักษร
ในเดือนกันยายนมีเหตุการณ์สำคัญ 2 เหตุการณ์ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนเกิดขึ้น กรณีแรก เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2520 ที่จังหวัดนราธิวาส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินกลับจากเยี่ยมราษฎรที่จังหวัดปัตตานี ขณะที่รถพระที่นั่งผ่านทางแยกกองร้อยหน่วยปฏิบัติการพิเศษจังหวัดนราธิวาส มีรถจักรยานยนต์มีพลตำรวจ อำนวย เพชรสังข์ สังกัดหน่วยปฏิบัติการพิเศษ เป็นผู้ขับขี่ รถจักรยานยนต์ได้แล่นเข้าชนรถพระที่นั่งที่บังโกลนด้านซ้ายเสียหายเล็กน้อย ส่วนรถจักรยานยนต์ล้มลงและเกิดเพลิงไหม้ ผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้ายได้รับบาดเจ็บ และในวันต่อมาวันที่ 22 กันยายน 2520 ได้มีการวางระเบิดจากวัตถุระเบิดซึ่งทำขึ้นเอง ในบริเวณสนามโรงพิธีช้างเผือก จังหวัดยะลา ใกล้เคียงกับปะรำพิธีที่ประทับซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกำลังพระราชทานธงประจำรุ่นให้แก่ลูกเสือชาวบ้าน
เหตุการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดปฏิกิริยาในหมู่ประชาชนอย่างกว้างขวาง โจมตีรัฐบาลว่าไม่สามารถถวายความอารักขาแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ โดยพุ่งเป้าไปที่การเรียกร้องให้นายสมัคร สุนทรเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลาออกจากตำแหน่ง นอกจากนี้ ด้วยนโยบาย "ขวาจัด" นำไปสู่ความไม่พอใจในการปกครองในรูปเผด็จการของรัฐบาล ที่ตัวนายกรัฐมนตรีเองถึงกับลงทุนเขียนหนังสือ "ลัทธิคอมมิวนิสต์และประชาธิปไตย" พิมพ์แจกจ่ายทั่วประเทศ ประกาศโครงการพัฒนาประชาธิปไตย 12 ปี ทั้งยังกำหนดนโยบายต่างประเทศแบบโดดเดี่ยว ประกาศตัวไม่สัมพันธ์กับประเทศในค่ายคอมมิวนิสต์
คณะนายทหาร หรือ "เปลือกหอย" นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ เป็นหัวหน้า จึงได้ยึดอำนาจการปกครองอีกครั้งหนึ่ง ในวันที่ 20 ตุลาคม 2520 เป็นอันสิ้นสุด "รัฐบาลหอย" นายธานินทร์ กรัยวิเชียร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเข้ารับตำแหน่งเลขาธิการคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน
พล.ร.อ. สงัดประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2519 และได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2520 เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2520 พร้อมกับทูนเกล้าฯถวายชื่อ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมนะนันท์ และต่อมามีพระบรมราชโองการแต่งตั้งเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 15 นับจากปี 2475 พร้อมกับรัฐมนตรีร่วมคณะ 31 คน
ช่วงที่อยู่ในตำแหน่งทางการเมืองพล.อ.เกรียงศักดิ์ได้รับฉายาว่า "อินทรีแห่งทุ่งบางเขน"
ธรรมนูญการปกครองฯ ฉบับชั่วคราว 2520 กำหนดให้มีสภานโยบายแห่งชาติ ซึ่งพล.ร.อ.สงัดเป็นประธานกรรมการ ซึ่งกรรมการประกอบไปด้วยบุคคลในคณะรัฐประหารนั่นเอง มีหน้าที่กำหนดนโยบายแห่งชาติและแนวทางบริหารแผ่นดินในแก่รัฐบาล และธรรมนูญฉบับ 2520 กำหนดให้มีรัฐสภาเพียงสภาเดียว คือสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีสมาชิก 360 คน มาจากการแต่งตั้ง มีหน้าที่ในการจัดทำรัฐธรรมนูญและออกกฎหมาย คณะปฏิวัติมีความมุ่งหมายที่จะให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้วเสร็จในปี 2521 และจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในปีเดียวกัน
รัฐบาลได้เสนอพระราชกฤษฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษแก่นักโทษทั่วประเทศ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบรอบ 50 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นักโทษที่ขอพระราชทานอภัยโทษครั้งนี้ มีทั้งนักโทษการเมือง ผู้ต้องหาคดี 26 มีนาคม 2520 และนักโทษเด็ดขาด หลังจากนั้น 2 วัน อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำหนังสือถึงพล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ นายกรัฐมนตรี เพื่อขอนิรโทษกรรมผู้ต้องหาคดีเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 และต่อมาก็ได้มีการขอนิรโทษกรรมให้กับผู้ต้องหาคดี 6 ตุลาคม 2519 อีกหลายราย รวมทั้งสมาคมทนายความแห่งประเทศไทยได้ว่าความให้ผู้ต้องหา
แต่ในขณะเดียวกันก็มีตัวแทนกลุ่มต่างๆ รวม 25 กลุ่ม ยื่นหนังสือให้ดำเนินคดีกับจำเลยที่ถูกจับ 6 ตุลาคม 2519 โดยกล่าวหาว่าผู้ต้องหาทั้งหมดมีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ชัดแจ้ง ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม และปล่อยตัวผู้ต้องหาเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2521
ผลงานชิ้นสำคัญของรัฐบาลผลผลิตสืบเนื่องจากเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ และแนวนโยบายเน้นที่การปราบปรามคอมมิวนิสต์ นำไปสู่การออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยไทยอาสาป้องกันชาติ พ.ศ. 2521 เพื่อถือเป็นแนวทางปฏิบัติตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2521 เป็นต้นมา โดยให้รวมกลุ่มและปรับปรุงกลุ่มราษฎรอาสาสมัครต่างๆ ทั่วประเทศประมาณ 200,000 เศษรวมเข้าเป็นรูปแบบอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยเรียกชื่อว่า "ไทยอาสาป้องกันชาติ (ทสปช.)" ให้มีหน้าที่พัฒนาและป้องกันหมู่บ้าน มีกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ควบคุม ดูแล และมีกองทัพแต่ละภาคช่วยทำหน้าที่อบรม ในโครงการอาสาพัฒนาและป้องกันตนเองแห่งชาติ (อพป.)
ในช่วงนั้น ยังมีการโจมตีด้วยกำลังอาวุธจากฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่กระจายกันอยู่ตามภูมิภาค ในเขตป่าเขาทั่วประเทศ ต่อที่ตั้งและหน่วยปฏิบัติการทหารและตำรวจที่จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดราชบุรี จังหวัดนครพนม มีการวางระเบิด เผาอาคารสำนักงานและที่พัก และโจมตีบริษัทก่อสร้างทางที่จังหวัดน่าน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ 31 สิงหาคม 2521 มี การลอบยิงเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งขณะที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินตรวจภูมิประเทศจากจังหวัดเลยไปจังหวัดหนองคาย มาถึงบริเวณภูซางเหนือ กิ่งอำเภอน้ำโสม จังหวัดอุดรธานี ได้ถูกยิงด้วยปืนเล็กกระสุนถูกบริเวณหางของเฮลิคอปเตอร์ แต่ไม่มีผู้ใดได้รับอันตราย.
พิมพ์ครั้งแรก โลกวันนี้ ฉบับวันสุข วันที่ 13-19 มีนาคม 2553
คอลัมน์ พายเรือในอ่าง ผู้เขียน อริน
หมายเหตุ: บทความขาดช่วงเนื่องจาก blog นี้ถูก "ปิด" ไปประมาณ 1 เดือน และมีคำขอโทษจาก Google ในความเข้าใจผิดว่าเป็น spam ระหว่างนั้นจึงมีการเปิด blog ขึ้นมาใหม่ http://arin-political.blogspot.com/