Article  :  Political   :  Forum  :  Facebook  :  Youtube

วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554

2475-2549 โปรดฟังอีกครั้ง (35)

ถนอมกับอำนาจที่ไม่เด็ดขาด: การเคลื่อนไหวก่อน 14 ตุลาฯ

สำหรับในการประกาศใช้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2511 นั้น ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2511 มีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา จำนวน 120 คน ตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญเพื่อทำหน้าที่สมาชิกวุฒิสภาในรัฐสภา ทั้งนี้ในจำนวนสมาชิกวุฒิสภาคนสำคัญที่ยังคงมีบทบาททางการเมืองมาจนทุกวันนี้คือ พ.อ. เปรม ติณสูลานนท์ (ยศในขณะนั้น) ร่วมกับนายทหารและพลเรือนอื่นๆ เช่น ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช, พลเอก กฤษณ์ ศรีวะรา, พล.ต. เกรียงไกร อัตตะนันท์, พล.ท. เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์, พล.ต.ท. พจน์ เภกะนันท์, พล.ต. ยศ เทพหัสดิน ณ อยุธยา, พ.อ. ยุทธศักดิ์ คล่องตรวจโรค, พล.ร.ท. สงัด ชะลออยู่, พล.ต.ต. สง่า กิตติขจร และ พล.ท. สายหยุด เกิดผล

แม้ว่าพรรคสหประชาไทยที่มีจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นหัวหน้าพรรค จะได้เป็นแกนกลางจัดตั้งรัฐบาล ทั้งยังมีรองหัวหน้าพรรค 3 คนที่น่าจะสามารถทำหน้าที่ฝ่ายบริหารได้อย่างมีเสถียรภาพ คือ จอมพลประภาส จารุเสถียร, พล.ต.อ. ประเสริฐ รุจิรวงศ์ อธิบดีกรมตำรวจ และนายพจน์ สารสิน อดีตนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.อ. ทวี จุลละทรัพย์ เป็นเลขาธิการพรรคก็ตาม แต่รัฐบาลก็มีปัญหาวุ่นวายตามมาไม่สิ้นสุด อันเนื่องจากการต่อรองผลประโยชน์ภายใน อีกทั้งการต่อรองนอกพรรค เนื่องจากความจำเป็นต้องหาเสียงสนับสนุนเพิ่มเติม

ในการจดทะเบียนพรรคการเมืองในสนามเลือกตั้งครั้งนี้ มีพรรคการเมืองเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก เช่น พรรค สหประชาไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคประชาชน พรรคแนวร่วมเศรษฐกร พรรคเสรีประชาธิปไตย พรรคแนวประชาธิปไตย พรรคสัมมาชีพช่วยชาวนา พรรคชาวนาชาวไร่ พรรคสยามใหม่ พรรคประชาพัฒนา พรรคแรงงาน พรรคไทธิปัตย์ พรรคอิสระธรรม และ พรรคชาติประชาธิปไตย

โดยที่จำนวนผู้ได้รับเลือกตั้งเข้าสภาเป็นผู้ไม่สังกัดพรรคถึง 70 คน

ทว่าในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 จอมพลถนอมเป็นหัวหน้ากลุ่มเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลของตนเอง เรียกคณะของตนว่า "คณะปฏิวัติ" ประกาศยกเลิก "รัฐธรรมนูญ 2511" ยุบสภา ยกเลิกกฎหมายพรรคการเมือง ตามมาด้วยการประกาศใช้ "ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2515" ซึ่งไม่ต่างไปจาก "ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2502" มีการใช้ "มาตรา 17" ที่ให้อำนาจเผด็จการแก่นายกรัฐมนตรี หรือ "หัวหน้าคณะปฏิวัติ" โดยข้ออ้างในคำปรารภการยึดอำนาจว่า "ภัยที่คุกคามประเทศและราชบัลลังก์ สถานการณ์ภายใน ความวุ่นวายทั้งภายในและภายนอกสภานิติบัญญัติ การนัดหยุดงานของกรรมกร การเดินขบวนของนักศึกษา การแก้ไขสถานการณ์ถ้าจะดำเนินการตามวิถีทางรัฐธรรมนูญย่อมไม่ทันต่อเหตุการณ์ จึงจำเป็นต้องใช้การยึดอำนาจการปกครองเพื่อให้สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้โดยเฉียบขาดและฉับพลัน"

ภายหลังการรัฐประหาร นายอุทัย พิมพ์ใจชน ส.ส.จังหวัดชลบุรี ของพรรคประชาธิปัตย์พร้อมด้วย ส.ส. อีก 2 คน จังหวัดชัยภูมิ พรรคเดียวกัน คือ นายอนันต์ ภักดิ์ประไพ และ นายบุญเกิด หิรัญคำ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลอาญาให้ดำเนินคดีต่อคณะปฏิวัติในข้อหากบฏต่อแผ่นดิน ถือเป็นท้าทายอำนาจอย่างตรงไปตรงมา ทว่าทั้งสามคนกลับตกเป็นจำเลยเสียเอง และถูกตัดสินจำคุกถึง 10 ปี โดยได้รับการปล่อยตัวก่อนเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ ไม่นาน

แต่แล้วหลังการรัฐประหารที่นำโดยจอมพลถนอม กลับเป็นปลุก "ขบวนการนิสิตนักศึกษา" ให้คืนกลับมาหลังจากตกอยู่ในสภาพชะงักงันมานับจากการรัฐประหารของจอมพล สฤษดิ์ในปี 2501 และเริ่มมีการวมกลุ่มแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและทำกิจกรรมร่วมกัน ที่สำคัญ จากการประชุมสมาคมบริการนักศึกษานานาชาติแห่งประเทศไทย จัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อปี 2512 และการที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นเจ้าภาพจัดการสัมมนาหัวข้อ "บทบาทนักศึกษาในการพัฒนาประเทศ" ที่อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม จนนำไปสู่การก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการของ "ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนท.)" หรือ "ศูนย์นิสิตฯ" ซึ่งมีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า "The National Student Center of Thailand (NSCT)" เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2513

ในเวลาเดียวกัน นอกเหนือจากการเข้าร่วมกลุ่มอย่างเป็นทางการที่ค่อนข้างจะถูกจับตาอย่างใกล้ชิด และควบคุมการดำเนินกิจกรรมในรูปแบบ "สโมสรฯ" ซึ่งต่างจากรูปแบบ "องค์การฯ" ที่พัฒนาขึ้นจากการรณรงค์เคลื่อนไหวในหมู่นิสิตนักศึกษากลุ่มอิสระในมหาวิทยาลัยต่างๆ ช่วงปี 2511-2515 เช่น "กลุ่มฟื้นฟูโซตัสใหม่" จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในธรรมศาสตร์ที่มีลักษณะหลากหลายกว่า คือ "ชมรมนิติศึกษา" "กลุ่มเศรษฐธรรม" "กลุ่มผู้หญิง ม.ธ." และ "กลุ่มสภาหน้าโดม" นอกจากนนั้น ก็มี "สภากาแฟ" จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ "ชมรมคนรุ่นใหม่" จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ในส่วนภูมิภาคก็มีที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่โดยกลุ่ม "วลัญชทัศน์" รวมทั้งนักศึกษาที่ยังไม่มีการรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนเช่นในมหาวิทยาลัยมหิดลและ มศว.บางแสน

การเคลื่อนไหวของนิสิตนักศึกษาในระยะแรกยังอยู่ในขอบเขตรั้วมหาวิทยาลัย เช่นการคัดค้านฟุตบอลประเพณีหรืองานบันเทิงอื่นๆ ที่เต็มไปด้วยความฟุ่มเฟือย เช่นการจัดงาน "รับน้อง" รวมไปจนถึงการคัดค้านการประกวดนางสาวไทยที่เวทีวังสราญรมย์ อันเป็นการทำลายความเป็นมนุษย์และมีลักษณะกดขี่ทางเพศสำหรับ "เพศแม่"

ระหว่างวันที่ 20-30 พฤศจิกายน 2515 ศูนย์นิสิตฯ ชุดที่มี นายธีรยุทธ บุญมี เป็นเลขาธิการ จัดให้มีการรณรงค์ "สัปดาห์ไม่ซื้อสินค้าญี่ปุ่น" มีนักศึกษามหาวิทยาลัยทุกสถาบันเข้าร่วมเดินขบวนหลายครั้ง รวมทั้งยื่นหนังสือถึงหัวหน้ารัฐบาลให้หาทางลดการเสียเปรียบดุลการค้ากับประเทศญี่ปุ่นทุกวิถีทาง และปิดท้ายด้วยการเผาหุ่นนักธุรกิจ ข้าราชการและนักการเมืองที่มีผลประโยชน์ร่วมกับพ่อค้าญี่ปุ่นที่สนามหลวงในวันที่ 30 พฤศจิกายน

จากนั้นนิสิตนักศึกษาก็มีโอกาสยกระดับความรับรู้และการเคลื่อนไหวไปสู่การเผชิญหน้ากับอำนาจรัฐโดยตรงเป็นครั้งแรก จากการเรียกร้องให้นิสิตนักศึกษาหลายสถาบันร่วมเดินขบวนประท้วง "ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 299" ที่ "ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานคณะตุลาการ ซึ่งแต่เดิมประกาศศาลฎีกาเป็นประธานคณะตุลาการ ส่วนกรรมการตุลาการ 9 คนนั้น เฉพาะกรรมการที่คณะผู้พิพากษาเป็นผู้เลือก 4 คน เปลี่ยนเป็นให้รัฐมนตรีเป็นผู้เลือก"

การประท้วงเริ่มขึ้นโดยนัก ศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จุฬา และรามคำแหง ต่อมาศูนย์ฯจึงเข้าร่วมด้วย และขยายตัวไปยังนิสิตนักศึกษาสถาบันอื่นๆ มีการชุมนุมข้ามคืนที่หน้าศาล อาญา สนามหลวง เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2515 ในที่สุดรัฐบาลเผด็จการก็ยอมยกเลิกประกาศคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าว.


พิมพ์ครั้งแรก โลกวันนี้ ฉบับวันสุข วันที่ 14-20 พฤศจิกายน 2552
คอลัมน์ พายเรือในอ่าง ผู้เขียน อริน
ร่วมสนับสนุนการเขียนและเผยแพร่ความคิด และกิจกรรมได้โดยโอนเงินไปที่

บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกรุงไทย สาขาเทสโก้โลตัส วังหิน
ชื่อบัญชี วัฒนา สุขวัจน์
บัญชีเลขที่ 986-2-87758-8