การอภิวัฒน์สยาม 2475:
8 ปีแรกของคณะราษฎร
ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2469 บุคคล 7 คน อันได้แก่ 1. ร.ท. ประยูร ภมรมนตรี (นายทหารกองหนุน อดีตผู้บังคับหมวดทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ในรัชกาลที่ 6) 2. ร.ท. แปลก ขีตตะสังคะ (นักศึกษาในโรงเรียนนายทหารปืนใหญ่ฝรั่งเศส) 3. ร.ต. ทัศนัย มิตรภักดี (นักศึกษาในโรงเรียนนายทหารม้าฝรั่งเศส) 4. นายตั้ว ลพานุกรม (นักศึกษาวิทยาศาสตร์ในสวิตเซอร์แลนด์) 5. หลวงสิริราชไมตรี (ผู้ช่วยสถานทูตสยามประจำกรุงปารีส) 6. นายแนบ พหลโยธิน (เนติบัณฑิตอังกฤษ) 7. นายปรีดี พนมยงค์ (ดุษฎีบัณฑิตกฎหมายฝ่ายนิติศาสตร์ ฝรั่งเศส) จัดให้มีการประชุม ณ หอพัก Rue du summerard ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
ข้อสรุปสำคัญของการประชุมคือการตกลงที่จะเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจาก "ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์" ที่พระมหากษัตริย์อยู่เหนือกฎหมาย มาเป็นการปกครองใน "ระบอบประชาธิปไตย" ที่ มีพระมหากษัตริย์อยู่ใต้กฎหมาย โดยตกลงที่ใช้วิธีการ "ยึดอำนาจโดยฉับพลัน" หลีกเลี่ยงการนองเลือด ส่วนหนึ่งเพื่อมิให้มหาอำนาจนักล่าอาณานิคม คือ อังกฤษและฝรั่งเศส ฉวยโอกาสเข้ามาแทรกแซงการเมืองการปกครองที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่
กลุ่มผู้ก่อการหรือที่รู้จักกันเวลาต่อมาในนาม "คณะราษฎร" วางเป้าหมายในการสร้างชาติภายใต้ระบอบประชาธิปไตยไว้ 6 ประการ ซึ่งบรรจุไว้ในประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 ลงวันที่ 24 มิถุนายน 2475 นั้นเอง และต่อมาได้เรียกว่า "หลัก 6 ประการของคณะราษฎร" คือ
1. จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชในบ้านเมือง ในทางศาล ในทางเศรษฐกิจของประเทศไว้ให้มั่นคง
2. จะรักษาความปลอดภัยในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก
3. จะต้องบำรุงความสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจไทย รัฐบาลใหม่ จะพยายามหางานให้ราษฎรทำโดยเต็มความสามารถ จะร่างโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก
4. จะต้องให้ราษฎรได้มีสิทธิเสมอภาคกัน (ไม่ใช่ให้พวกเจ้ามีสิทธิยิ่งกว่าราษฎรเช่นที่เป็นอยู่)
5. จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก 4 ประการ ดังกล่าวแล้วข้างต้น
6. จะต้องให้มีการศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร
เมื่อคณะผู้ก่อการทยอยกันกลับมาประเทศสยาม ก็หาสมาชิกเข้าร่วมก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ประกอบด้วยราษฎรทุกสาขาอาชีพรวม 102 คน โดย สายพลเรือนนำโดย หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (นายปรีดี พนมยงค์) สายทหารเรือนำโดย น.ต. หลวงสินธุสงครามชัย (สินธุ์ กมลนาวิน) สายทหารบกแยกย่อยเป็น 2 สาย ชั้นยศต่ำนำโดย พ.ต. หลวงพิบูลสงคราม (แปลก ขีตตะสังคะ) และสายชั้นยศสูงนำโดย พ.อ. พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน)
การอภิวัฒน์ที่ถือว่าเป็นครั้งเดียวของสยามประเทศในเวลานั้นหรือกระทั่งเปลี่ยนเป็นประเทศไทย เปิดฉากจริงๆในวันที่ 12 มิถุนายน โดยคณะราษฎรร่วมกันวางแผนการที่บ้าน ร.ท. ประยูร ภมรมนตรี โดยมีเป้าหมายสำคัญในการควบคุมสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต ผู้สำเร็จราชการรักษาพระนคร และวันดีเดย์ 24 มิถุนายน ก็เคลื่อนกำลังเข้าควบคุมจุดยุทธศาสตร์สำคัญในพระนคร ตลอดจนควบคุมเจ้านายที่ควบคุมกำลังทหารเอาไว้ได้ จากกนั้นจึงประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทย จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปเป็นระบอบประชาธิปไตย ในการปฏิบัติการมีพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นหัวหน้าคณะราษฎร
27 มิถุนายน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวลงพระปรมาภิไธยในธรรมนูญการปกครองประเทศ โดยทรงเพิ่มคำว่า "ชั่วคราว" ต่อท้ายธรรมนูญการปกครองฯ ที่ร่างโดยนายปรีดี พนมยงค์
10 ธันวาคม สภาผู้แทนราษฎรจึงผ่านผ่านการเห็นชอบรัฐธรรมนูญฉบับถาวรและได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 หลังจากมีการทบทวนความสำคัญบางประเด็นตามกระแสพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ จากนั้นจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งผู้บริหารประเทศชุดใหม่ในนามใหม่ คือเป็น "นายกรัฐมนตรี" และ "รัฐมนตรี" แทนที่ชื่อตำแหน่งว่า "ประธานคณะกรรมการราษฎร" และ "กรรมการราษฎร" คณะบริหารชุดใหม่มี พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) เป็นนายกรัฐมนตรี และมีรัฐมนตรีประจำกระทรวง 7 กระทรวง และรัฐมนตรีลอยอีก 13 คน
11 ตุลาคม 2476 พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช อดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหม เป็นหัวหน้าฝ่ายทหารนำกำลังทหารจากหัวเมืองภาคอีสาน ล้มล้างการปกครองของรัฐบาล แต่กระทำการไม่สำเร็จ จึงเป็นที่มาของชื่อ "กบฏบวรเดช" 23 ตุลาคม นายทหารคนสำคัญฝ่ายกบฏ คือ นายพันเอก พระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น ท่าราบ) ถูกยิงเสียชีวิตโดยทหารจากกองพันทหารราบที่ 6 นำโดย พันตรีหลวงวีรวัฒน์โยธา 25 ตุลาคม พระองค์เจ้าบวรเดชหัวหน้าคณะกบฏและพระชายา ทรงขึ้นเครื่องบินหนีไปยังประเทศกัมพูชา
7 พฤศจิกายน สภาผู้แทนราษฎร ผ่านกฎหมาย พระราชบัญญัติป้องกันรักษารัฐธรรมนูญ อันเป็นเครื่องมือที่จะตอบโต้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาล (หรือนัยหนึ่งคือฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์กับคณะราษฎร)
2 มีนาคม 2477 (2478) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ ขณะประทับรักษาพระเนตรอยู่ในประเทศอังกฤษ
14 ตุลาคม 2479 เปิด "อนุสาวรีย์ปราบกบฏ" หรือ "อนุสาวรีย์พิทักษ์ธรรมนูญ" ที่บางเขน ซึ่งปัจจุบันหลงเหลือคำที่ใช้เรียกขานเพียงว่า "อนุสาวรีย์หลักสี่" จนความหมายของวีรกรรมหาญกล้าของคณะบุคคลที่ทุ่มอุทิศชีวิตเพื่อสถาปนาระบอบประชาธิปไตย ถูกลอดทอนความสำคัญลงไปทุกทีจนเกือบกลายเป็นตำนานที่ไร้ที่มาที่ไปยิ่งขึ้นทุกที
18 กรกฎาคม 2481 รัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนาออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี กำหนดให้วันที่ 24 มิถุนายน เป็น "วันชาติ"
24 มิถุนายน 2482 เริ่มเฉลิมฉลองวันชาติ 24 มิถุนายน เป็นครั้งแรก ในสมัยรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม พร้อมกับการเริ่มก่อสร้าง "อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย" ซึ่งออกแบบโดย หม่อมหลวงปุ่ม มาลากุล ควบคุมการก่อสร้างจนแล้วเสร็จโดย ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ศิลปินผู้ปั้นอนุสาวรีย์คือ นายสิทธิเดช แสงหิรัญ และจัดพิธีเปิดเมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2483
เวลา 8 ปีหรือครึ่งทางของคณะราษฎร ได้รัฐธรรมนูญที่ยังไม่สมบูรณ์เท่าใดนัก ได้ "วันชาติ" มาเป็นสมบัติของ "ราษฎร" และได้อนุสาวรีย์เป็นสัญลักษณ์ในการสร้างชาติไทยใหม่
พิมพ์ครั้งแรก โลกวันนี้ ฉบับวันสุข วันที่ 19 - 25 มิถุนายน 2552
คอลัมน์ พายเรือในอ่าง ผู้เขียน อริน