Article  :  Political   :  Forum  :  Facebook  :  Youtube

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

สังเขปประวัติศาสตร์การเมืองยุคใกล้ของไทย (34)

ประวัติศาสตร์การเมืองยุคใกล้ของไทย:
"ระบอบสฤษดิ์/ระบบพ่อขุนอุปถัมภ์"(3)

จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หัวหน้าคณะรัฐประหารสองครั้ง (แต่กลับเรียกตนเองว่าหัวหน้าคณะปฏิวัติ จนใช้มาผิดๆกันจนทุกวันนี้) คือ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 และ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501

พลโท ถนอม กิตติขจร: รัฐบาลขัดตาทัพ

เส้นทางการก้าวเข้าสู่วิถีทางทางการเมืองของจอมพลถนอม กิติขจร เริ่มต้นอย่างจริงจังตั้งแต่ครองยศพลตรี ในตำแหน่งรองแม่ทัพกองทัพที่ 1 ด้วยการได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประเภทที่ 2 ในปี พ.ศ. 2494 และรับพระราชทานยศพลโท พร้อมกับดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสหกรณ์ในรัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงคราม (สมัยที่ 7) โดยเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2498 และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในรัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงคราม (สมัยที่ 8) อีกครั้งหนึ่ง

หลังจากเกิดความขัดแย้งในทางการเมือง โดยเฉพาะในเหตุการณ์การเลือกตั้งสกปรกเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 นำไปสู่เหตุการณ์ที่คณะรัฐมนตรีสายทหารบก ที่ได้รับตำแหน่งต่างๆ ทั้งทางทหารและทางการเมืองจากการเข้าร่วมทำรัฐประหารกับ จอมพล ป.พิบูลสงคราม นำโดย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลตรีสิริ สิริโยธิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสหกรณ์ พลโทถนอม กิตติขจร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม พลโทประภาส จารุเสถียร และพลอากาศโทเฉลิมเกียรติ วัฒนางกูร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตร ได้กราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ.2508 และจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ลาออกจากสมาชิกพรรคเสรีมนังคศิลา โดยพลโทถนอม กิตติขจร และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ประจำการอีก 40 กว่านาย ได้ลาออกตามไปด้วย

ต่อมาใน วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 คณะรัฐประหาร โดยการนำของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ได้นำคณะทหารจำนวนหนึ่งเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม โดยแต่งตั้งให้นายพจน์ สารสิน มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีดังได้กล่าวมาแล้ว และได้จัดการเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 8 เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2500 คณะรัฐมนตรี จึงกราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2500 หลังการเลือกตั้งพรรคสหภูมิที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ให้การสนับสนุน แม้จะมี ส.ส. ได้รับเลือกเข้ามามากเป็นอันดับหนึ่ง คือ 44 เสียง แต่ยังไม่มากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาล ประกอบกับปรารถนาที่จะรวมสมาชิกทั้ง 2 ประเภทเข้าด้วยกัน จึงได้จัดตั้งพรรคการเมืองขึ้น คือ พรรคชาติสังคม โดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นหัวหน้าพรรค ส่วนพลโทถนอม กิตติขจร และพลโทประภาส จารุเสถียร เป็นรองหัวหน้าพรรค ซึ่งพรรคชาติสังคมมี ส.ส. ในสังกัด 202 คน มาจากพรรคสหภูมิที่ยุบไป 44 คน รวมกับ ส.ส. ประเภทที่ 1 จากพรรคต่าง ๆ และ ส.ส. ประเภทที่ 2 ที่มาเข้าพรรคด้วย เมื่อมีจำนวนเสียงสนับสนุนเกินกว่ากึ่งหนึ่ง พรรคชาติสังคมจึงสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ซึ่งจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้เป็นหัวหน้ารัฐประหาร ได้ประกาศว่าจะไม่ยอมรับตำแหน่งทางการเมือง ขอคุมกำลังทางทหารด้านเดียว ประกอบกับมีสุขภาพไม่สมบูรณ์ ดังนั้น ผู้ที่ได้รับการสนับสนุนให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 10 ของประเทศไทย คือ พลโทถนอม กิตติขจร รองหัวหน้าคณะรัฐประหาร

พลโทถนอม กิตติขจร เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามประกาศพระบรมราชโองการ เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2501 การขึ้นดำรงตำแหน่งสมัยแรกของพลโทถนอม กิตติขจร ไม่ค่อยราบรื่นเท่าที่ควร เพราะเผชิญหน้ากับปัญหาที่เกิดจากเกมการเมืองของพรรคฝ่ายค้านในเวลานั้น ซึ่งที่เป็นหลักคือ พรรคประชาธิปัตย์ กับ ส.ส. บางคนที่ไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองใดๆ อีกต่อไปแล้ว ซึ่งบางส่วนเป็นอดีต ส.ส. พรรคเสรีมนังคศิลา (มีหัวหน้าพรรค คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เลขาธิการพรรคคือ พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจ มีรองหัวหน้าพรรคได้แก่ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์, พลตรีประภาส จารุเสถียร เป็นต้น มีที่ทำการพรรคอยู่ที่บ้านมนังคศิลา อันเป็นที่มาของชื่อพรรค) ที่เคยให้การสนับสนุนจอมพล ป.พิบูลสงคราม ในอดีต

ทั้งนี้ สำหรับสมาชิกพรรคการเมืองและนักการเมืองที่มีความสัมพันธ์กับนายปรีดี พนมยงค์ ทั้งพรรคแนวรัฐธรรมนูญ (เป็นพรรคการเมืองเกิดขึ้นหลังการสลายตัวของขบวนการเสรีไทยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง โดยมี พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เป็นหัวหน้าพรรค และ นายทองเปลว ชลภูมิ เป็นเลขาธิการพรรค สมาชิกส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่ในขบวนการเสรีไทยและบุคคลในคณะราษฎรที่สนับสนุน นายปรีดี พนมยงค์) และพรรคสหชีพ (มีแนวทางการก่อตั้งพรรคและอุดมการณ์คล้ายคลึงกับพรรคแนวรัฐธรรมนูญ คือ เป็นสังคมนิยม แต่มิได้ดำเนินการเกี่ยวข้องกัน พลตำรวจเอก อดุล อดุลเดชจรัส เป็นหัวหน้าพรรค และนายเดือน บุนนาค เป็นเลขาธิการพรรค สมาชิกและผู้ก่อตั้งส่วนใหญ่เป็นสมาชิกขบวนการเสรีไทยสายอีสาน ที่ให้การสนับสนุนนายปรีดี พนมยงค์) ทั้งสองพรรคถูกยุบพรรคหลังการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2494 ตามคำสั่งของคณะรัฐประหารที่ให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ. 2492

นอกจากนั้น สถานภาพของรัฐบาลพลโทถนอมก็ไม่มั่นคงเนื่องจากปัญหาภายในในพรรคฯ ที่เกิดจากการยุบรวมพรรคสหภูมิมาอยู่กับพรรคชาติสังคม แม้จะมีการปรับปรุงคณะรัฐมนตรี แต่สถานการณ์ความวุ่นวายก็ยังไม่ดีขึ้น ประกอบกับช่วงเวลาก่อนหน้านั้น จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ หัวหน้าคณะปฏิวัติ ได้เดินทางไปต่างประเทศเพื่อรักษาโรคประจำตัว ครั้นเมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เดินทางกลับจากการรักษาตัวที่สหรัฐอเมริกาในช่วงเช้าวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 พลโทถนอม กิตติขจร ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเวลาเที่ยงของวันเดียวกัน แต่ยังไม่ได้ประกาศให้แก่ประชาชนทราบโดยทั่วกัน จากนั้นในเวลา 21.00 น. จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ประกาศยึดอำนาจอีกครั้ง โดยอ้างถึงเหตุความมั่นคงของประเทศ ซึ่งมีลัทธิคอมมิวนิสต์กำลังคุกคาม โดยออกประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 1 มีใจความว่าช
"ด้วยคณะปฏิวัติ ซึ่งประกอบด้วย ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจ และพลเรือน ได้ทำการยึดอำนาจปกครองประเทศในนามของปวงชนชาวไทย ตั้งแต่เวลา ๒๑ นาฬิกา วันที่ ๒๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๐๑ นี้เป็นต้นไป และสถานการณ์ทั้งหลายตกอยู่ภายใต้ความควบคุมของคณะปฏิวัติโดยทั่วไปแล้ว ขอให้ประชาชนพลเมืองประกอบกิจการงานอาชีพตามปรกติ ให้ข้าราชการทั้งหลายปฏิบัติงานให้หน้าที่ตามเคย และให้ทุกคนตั้งอยู่ให้ความสงบ มิพึงกระทำการใด ๆ ที่จะก่อให้เกิดความไม่เรียบร้อยในประเทศ ห้ามเคลื่อนย้ายกำลังทหารนอกจากด้วยคำสั่งของหัวหน้าปฏิวัติ และให้ผู้บังคับบัญชากำลังหน่วยต่าง ๆ ของประเทศฟังและปฏิบัติตามคำสั่งของหัวหน้าคณะปฏิวัติแต่ผู้เดียว"
จากนั้นจึงตามมาด้วยประกาศฉบับต่างๆ ให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ขณะนั้น ยุบสภา ยกเลิกสถาบันทางการเมือง ได้แก่ พรรคการเมือง เป็นต้น และทำการรัฐประหาร (รัฐบาลที่ตนเองสนับสนุนมาตั้งแต่แรก) โดยมีพลโทถนอมดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าคณะปฏิวัติ ต่อมา จอมพลสฤษดิ์ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยตนเอง ให้พลโทถนอมเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จึงเป็นอันสิ้นสุดตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในสมัยที่ 1

การรัฐประหารครั้งนี้ถือเป็นการสิ้นสุดของรัฐธรรมนูญฉบับที่ 6 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495 รวมระยะเวลาประกาศใช้ทั้งสิ้น 6 ปี 7 เดือน 12 วัน มีรัฐบาลบริหารประเทศรวม 6 ชุด และพลเอกถนอม กิตติขจร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่เพียง 9 เดือน 20 วัน.
(ยังมีต่อ)


พิมพ์ครั้งแรก โลกวันนี้ ฉบับวันสุข 31 มกราคม-6 กุมภาพันธ์ 2558
คอลัมน์ พายเรือในอ่าง ผู้เขียน อริน

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

สังเขปประวัติศาสตร์การเมืองยุคใกล้ของไทย (33)

ประวัติศาสตร์การเมืองยุคใกล้ของไทย:
"ระบอบสฤษดิ์/ระบบพ่อขุนอุปถัมภ์"(2)

คณะรัฐมนตรี นายพจน์ สารสิน (แถวหน้า ยืนกลาง) ขวามือคือ พลโทถนอม กิตติขจร ซ้ายมือคือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ส่วนคนยืนแถวที่สามด้านหลังคือ พลตรีประภาส จารุเสถียร ซึ่งต่อมาในวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2500 ได้รับแต่งตั้งเป็นแม่ทัพกองทัพภาคที่ 1 และได้รับพระราชทานยศเป็นพลโท

เส้นทางสู่อำนาจเด็ดขาด (ต่อ)

ด้วยเหตุการณ์ดังกล่าว และเห็นว่ารัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามขาดความชอบธรรมที่จะปกครองบ้านเมืองแล้ว จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์จึงประกาศลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม คงเหลือแต่ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกเพียงอย่างเดียว

เนื่องจากจอมพล ป. พิบูลสงครามต้องการจะรักษาอำนาจต่อไป จึงทำให้มีทั้งนายทหารและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งประเภท 1 และประเภท 2 ที่เคยสนับสนุนรัฐบาลบางส่วนลาออก บางส่วนแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ยอมร่วมสังฆกรรมด้วยอีกต่อไป ต่างก็พากันไปร่วมมือกับจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีเป้าหมายคือให้จอมพล ป. พิบูลสงครามและพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ลงจากอำนาจ

ในวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2500 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และคณะทหารยื่นคำขาดต่อจอมพล ป. พิบูลสงครามให้รัฐบาลลาออก แต่ได้รับคำตอบจากจอมพล ป. พิบูลสงครามว่า ยินดีจะให้รัฐมนตรีลาออก แต่ตนจะขอเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลเอง ยิ่งสร้างความไม่พอใจแก่ประชาชนอย่างใหญ่หลวง ซึ่งจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ได้พูดผ่านวิทยุยานเกราะถึงผู้ชุมนุมในเหตุการณ์นี้ โดยมีประโยคสำคัญที่ยังติดปากมาจนทุกวันนี้ว่า "พบกันใหม่เมื่อชาติต้องการ"

จนเมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2500 ประชาชนพากันลุกฮือเดินขบวนบุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล เมื่อไม่พบจอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงพากันไปที่บ้านจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในขณะที่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็กำลังจะเตรียมจับกุมจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในข้อหากบฏที่สนับสนุนให้ผู้ชุมนุมประท้วงรัฐบาลแต่ยังไม่ทันที่ดำเนินการใดๆ

ในคืนวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้นำกำลังทหารเข้ายึดอำนาจโค่นล้มจอมพล ป. พิบูลสงครามออกจากตำแหน่ง ในคืนนั้นเอง จอมพล ป. พิบูลสงคราม และพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ได้ลี้ภัยไปต่างประเทศ รัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงครามจึงได้สิ้นสุดอย่างสิ้นเชิงนับแต่นั้น

(ขอบคุณข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org/wiki/สฤษดิ์_ธนะรัชต์)

รัฐบาลพลเรือนพจน์ สารสิน

หลังการยึดอำนาจของคณะทหารที่นำโดยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ และคณะทหารได้ล้มสภาผู้แทนราษฎรเพื่อจะจัดการเลือกตั้งใหม่ โดยไปเชิญ นายพจน์ สารสิน เลขาธิการองค์การสนธิสัญญาป้องกันเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (ส.ป.อ.) มาเป็นนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2500

นายพจน์ สารสิน (เริ่มบทบาททางการเมืองด้วยการสนับสนุนของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกวุฒิสภา เมื่อปี พ.ศ. 2490 และเข้าร่วมรัฐบาลในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศในปี พ.ศ. 2491 และต่อมาในปี พ.ศ. 2492 ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แต่ภายหลังได้ลาออกเนื่องจากมีความเห็นขัดแย้งกับรัฐบาลเกี่ยวกับการรับรองรัฐบาลเบาได๋แห่งเวียดนามใต้) ซึ่งลาพักงานจากตำแหน่งเลขาธิการองค์การสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ส.ป.อ.) หรือ Southeast Asia Treaty Organization (SEATO) และจัดตั้งโดยสหรัฐอเมริการซึ่งในเวลานั้น หลังจากเป็นมหาอำนาจหลักที่ชนะสงครามในสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเฉพาะในภูมิภาคสรภูมิเอเชียแปซิฟิก เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2500 โดยรู้กันทั่วไปว่าจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราววันเดียวกันกับที่เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ได้รัฐบาลเลย มีรัฐมนตรีจำนวน 20 คน โดยที่ตัวนายกรัฐมนตรีเองควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอีกตำแหน่งหนึ่ง

อีก 3 วันต่อมานายกรัฐมนตรีก็นำคณะรัฐมนตรีเข้าแถลงนโยบาย เป็นการแถลงนโยบายที่เรียบง่าย นายกรัฐมนตรีกล่าวไปหลายอย่าง แต่ที่สำคัญก็คือการจัดให้มีการเลือกตั้ง
"รัฐบาลนี้จะจัดให้การเลือกตั้งที่จะต้องกระทำภายใน 90 วันตามประกาศพระบรมราชโองการ เรื่องการใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ลงวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2500 เป็นไปตามกฎหมายโดยสุจริต เที่ยงธรรม จึงขอแถลงยืนยันถึงเจตจำนงข้อนี้ให้ปรากฏเสมือนเป็นคำสัตย์ปฏิญาณให้ไว้ในสภาผู้แทนราษฎรนี้ด้วย"
รัฐมนตรีที่มีหน้าที่กำกับดูแลการเลือกตั้งคือ รัฐมนตรีมหาดไทย พลตรีประภาส จารุเสถียร

ในการเลือกตั้งในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2500 นั้นนายกรัฐมนตรีพจน์ สารสิน ไม่ได้ลงเลือกตั้งด้วย รัฐมนตรีมหาดไทยก็ไม่ได้ลงเลือกตั้งด้วย แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการ นายสุกิจ นิมมานเหมินท์ ผู้เป็นหัวหน้าพรรคสหภูมิ กับนายสงวน จันทรสาขา น้องชายร่วมมารดากับจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้เป็นเลขาธิการพรรคสหภูมิและเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้ลงเลือกตั้งด้วย

ส่วนพรรคฝ่ายค้านก่อนการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม คือ พรรคประชาธิปัตย์ที่นำโดยอดีตนายกรัฐมนตรี นายควง อภัยวงศ์ จึงเป็นพรรคคู่แข่งสำคัญของพรรคสหภูมิ

การเลือกตั้งในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2500 นี้มีผู้ออกมาใช้สิทธิร้อยละ 40.10 จังหวัดที่มีผู้ใช้สิทธิมากที่สุดคือจังหวัดระนอง และจังหวัดที่มีผู้ใช้สิทธิน้อยที่สุดคือจังหวัดอุบลราชธานี

ผลของการเลือกตั้งครั้งนั้น ได้ผู้ชนะเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรกระจายกันออกไปไม่มีพรรคใดครองเสียงได้โดยเด็ดขาด โดยพรรคสหภูมิได้ที่นั่งมากเป็นลำดับหนึ่งได้ 44 ที่นั่ง พรรคประชาธิปัตย์ได้ที่นั่งลำดับรองลงมาได้ 39 ที่นั่ง และมี ส.ส. ที่ไม่สังกัดพรรคอีก 59 คน ที่เหลืออีก 18 ที่นั่ง แบ่งไปตามพรรคเล็ก ๆ อีก 6 พรรค (เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 9; 15 ธันวาคม พ.ศ. 2500 - 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 รวมสมาชิกทั้งสิ้น 283 คน โดยมาจากการเลือกตั้งแบบประเภทที่ 1 ซึ่งแบ่งเขตทั้งหมด 160 คน และแบบประเภทที่ 2 ซึ่งเป็นการแต่งตั้ง 123 คน)

สำหรับตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรจากการเลือกตั้งจากการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2500 ได้แก่ พลเอกพระประจนปัจจนึก (พุก มหาดิลก)

นายพจน์ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2500 หลังจากที่ได้ดำเนินการจัดการเลือกตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว

และในวันที่ 1 มกราคม 2501 พลโทถนอม กิตติขจร ก็เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 ของราชอาณาจักรไทย นับจากการอภิวัฒน์สยาม เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475.

(ยังมีต่อ)

พิมพ์ครั้งแรก โลกวันนี้ ฉบับวันสุข 24-30 มกราคม 2558
คอลัมน์ พายเรือในอ่าง ผู้เขียน อริน
ร่วมสนับสนุนการเขียนและเผยแพร่ความคิด และกิจกรรมได้โดยโอนเงินไปที่

บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกรุงไทย สาขาเทสโก้โลตัส วังหิน
ชื่อบัญชี วัฒนา สุขวัจน์
บัญชีเลขที่ 986-2-87758-8