การ "เลิกไพร่" และ "เลิกทาส":
การยุติระบอบศักดินาเด็ดขาด
ทาสในสมัยสมัยรัชกาลที่ 4 - 5
สมัยที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชย์นั้น สยามมีทาสเป็นจำนวนกว่าหนึ่งในสามของพลเมืองของประเทศ เพราะเหตุว่าการเกิด "(ลูก)ทาสในเรือนเบี้ย" เป็นทาสกันตลอดชีวิตสืบต่อกันเรื่อยมาไม่มีที่สิ้นสุด โดยลูกที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นทาสก็ตกเป็นทาสอีกต่อๆกันเรื่อยไป ซึ่งตามกฎหมายโบราณที่สืบเนื่องมาจากสมัยอยุธาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ได้กำหนดว่าด้วยลักษณะทาสได้จัดประเภทของทาสไว้ 7 อย่าง คือ
- ทาสไถ่มาด้วยทรัพย์ หรือ "ทาสสินไถ่" หมายความว่าเป็นสถานภาพของบุคคลซึ่งเดิมเป็นทาสของคนอื่น แล้วผู้ใดผู้หนึ่งนำเงินไปไถ่ตามค่าตัวที่ได้กำหนดไว้ ทำให้ทาสเปลี่ยนมือหรือ "นายทาส" หรืออีกความหมายหนึ่งอธิบายว่า หมายถึงทาสที่ขายตัวเองหรือถูกผู้อื่นขายให้แก่นายเงินต้องทำงานจนกว่าจะหาเงินมาไถ่ค่าตัวได้ จึงจะหลุดพ้นเป็นไท
- "ทาสในเรือนเบี้ย" หมายถึงลูกที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นทาส ย่อมเป็นทาสไปด้วย
- ทาสได้มาแต่ฝ่ายมารดาบิดา หมายความถึงทาสที่บุคคลได้รับมรดกจากมารดาบิดาของตน
- ทาสที่มีผู้ให้ หรือ "ทาสท่านให้" คือ ทาสที่เดิมเป็นของผู้หนึ่งแล้วถูกยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของอีกผู้หนึ่ง
- ทาสอันได้มาด้วยการช่วยกังวลธุระทุกข์แห่งคนอันต้องโทษทัณฑ์ หรือ "ทาสที่ช่วยมาจากทัณฑโทษ" คือ ผู้ที่ถูกต้องโทษต้องเสียค่าปรับแต่ไม่มีเงินให้ ต่อเมื่อมีนายเงินเอาเงินมาใช้แทนให้ ผู้ต้องโทษก็ต้องเป็นทาสของนายเงิน
- ทาสที่เลี้ยงไว้เมื่อเกิดทุพภิกขภัย หรือที่บัญญัติไว้เป็น "ทาสอันได้เลี้ยงไว้ในกาลเมื่อข้าวแพง" คือทาสที่เข้ามาสมัครใจยอมตัวเป็นทาสเนื่องจากสาเหตุข้าวยากหมากแพง ไม่มีจะกินต้องอาศัยมูลนายกิน ในที่สุดก็ต้องยอมเป็นทาสของมูลนายนั้น
- ทาสที่ได้มาจากการรบศึกชนะ หรือที่เรียกว่า "ทาสเชลย" หรือ "เชลยทาส" โดยทั่วไปจะเป็น "ทาสหลวง" ก่อน แล้วพระมหากษัตริย์จะได้พระราชทานแก่ขุนนางและเจ้านายที่มีความดีความชอบในการทำศึกสงคราม
การดำรงอยู่ของ "ระบบทาส/ไพร่" ที่เคยเป็นรากฐานสำคัญของระบอบการปกครองและระบบการผลิตแบบ "ศักดินา" กลายเป็นตัวการขัดขวางพัฒนาการของสังคมสยามนับจากการเข้ามาของการขยายตัวลัทธิเจ้าอาณานิคม เพื่อขยายตลาดวัตถุดิบ ตลาดการผลิต และตลาดการค้าใหม่ ทั้งนี้มูลเหตุที่นำไปสู่ความจำเป็นของการเลิกทาสและไพร่ (ดังที่กล่าวไปแล้ว) พอสรุปได้ตือ
- เพื่อให้เกิดแรงงานอิสระ ที่สามารถเดินทางไปรับจ้างได้ทั่วราชอาณาจักร ไม่จำกัดจากการสังกัดมูลนาย
- เป็นผลดีต่อการเตรียมการปฏิรูประบบราชการแผ่นดิน จากระบอบจตุสดมภ์สู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในรูปกระทรวง ทบวง กรม ซึ่งที่สำคัยคือการใช้คนในส่วนกลางเป็นพื้นฐาน (ในเวลาต่อมาจึงเกิด "โรงเรียนฝึกหัดข้าราชการ"; ดูบทความ "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" กับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ใน โลกวันนี้ ฉบับวันสุข 11-17 กุมภาพันธ์ 2555)
- ราษฎรหันมาจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์และพระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจมากขึ้น และในที่สุดมีอำนาจสำเร็จเด็ดขาดเมื่อการปฏิรูประบบราชการแผ่นดินสำเร็จลง ทั้งทางการคลัง การทหาร และการปกครอง เป็นสำคัญ เกิดการเปลี่ยนผ่านระบอบการปกครอง
- เปลี่ยนระบอบการทหาร จากกระจายอยู่ในมือของเชื้อพระวงศ์และขุนนางอำมาตย์ (ไพร่สม) มาสู่ "ทหารของพระมหากษัตริย์ (ไพร่หลวง)" เกิดการเกณฑ์ทหารและจัดระบบกองทัพแบบใหม่ขึ้น
- เพื่อลดอิทธิพลและอำนาจของขุนนางลงและ "ยุติ" ระบอบจตุสดมภ์/ศักดินาสวามิภักดิ์ลงได้ในที่สุด
1. พระราชบัญญัติพิกัดเกษียณอายุลูกทาสลูกไท จุลศักราช 1236 โสณสังวัจฉระ สาวนมาส ชุณหปักษ์ นวมีดีถีศุกรวาร (วันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2417) มีเนื้อหลักกำหนดให้ ทาส 7 ประเภท ดังกล่าวข้างต้น ที่เกิดตั้งแต่ปีมะโรงสัมฤทธิศก จ.ศ. 1230 (คือปี พ.ศ. 2411 อันเป็นปีเสวยราชย์) เป็นต้นไป เมื่อแรกเกิด ชายมีค่าตัว 8 ตำลึง หญิงมีค่าตัว 7 ตำลึง ให้ขึ้นค่าตัวจนถึงอายุ 8 ปี ต่อจากนั้นให้ลดลงตามระยะเดือน ปี อันตราไว้ในพระราชบัญญัติ จนถึงอายุ 21 ปี หมดค่าตัวและให้ขาดจากความเป็นทาสทั้งชายและหญิง; ถึงแม้ว่าบุคคลซึ่งเกิดตั้งแต่ พ.ศ.2411 เป็นต้นมานั้น จะได้รับการปลดปล่อยตามเงื่อนไขเวลาที่กล่าวมาแล้ว ต่อเมื่อถึง พ.ศ. 2431 เป็นต้นไปก็ตาม แต่ก็สามารถได้รับการไถ่ถอนให้พ้นจากความเป็นทาสได้ในราคาพิเศษซึ่งถูกกว่าทาสที่เกิดก่อน พ.ศ.2411; กำหนดว่าถ้าผู้ใดจะนำบุตรหลานของตนไปขายเป็นทาสซึ่งเกิดตั้งแต่ พ.ศ.2411 และมีอายุต่ำกว่า 15 ปีลงมาไปขายเป็นทาส จะต้องขายในอัตราซึ่งกำหนดไว้ในพิกัดกระเษียรอายุใหม่ในรัชกาลที่ 5; ห้ามผู้ที่เกิดใน พ.ศ.2411 หรือบิดามารดาของตนเองขายตนเป็นทาส โดยที่ตนเองและบิดามารดากล่าวเท็จว่ามิได้เกิดใน พ.ศ.2411 จะต้องถูกลงโทษด้วย; ห้ามมูลนายคิดค่าข้าว ค่าน้ำ กับเด็กชายหญิงที่ติดตามพ่อแม่ พี่น้อง ป้า น้า อา ของตนที่ขายตัวเป็นทาส จนกลายเป็นเจ้าหนี้ของเด็กและเอาเด็กเป็นทาสต่อไปด้วย
พระราชบัญญัติพิกัดเกษียณอายุลูกทาสลูกไท พ.ศ. 2417 นี้ มิได้ใช้บังคับในทุกมณฑล มีบางมณฑลมิได้บังคับใช้ คือ มณฑลตะวันตกเฉียงเหนือหรือมณฑลพายัพ มณฑลตะวันออกหรือมณฑลบูรพา มณฑลไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู เนื่องจากขณะนั้นมณฑลเหล่านี้ยังเป็นประเทศราชอยู่ จึงไม่นับรวมเข้ามาในพระราชอาณาเขตตามความหมายของพระราชบัญญัตินี้
2. พระบรมราชโองการหมายประกาศลูกทาส ประกาศ ณ วันพฤหัสบดี เดือน 10 แรม 13 ค่ำ ปีจอ ฉศก จุลศักราช 1236 (8 ตุลาคม พ.ศ. 2417) ให้สลักหลังสารกรมธรรม์ของทาสที่เกิดในปีมะโรงสัมฤทธิศก (พ.ศ. 2411) ตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติพิกัดเกษียณอายุลูกทาสลูกไท โดยให้อำเภอ กำนันพร้อมกันกับตัวทาส สลักลังสารกรมธรรม์ไว้เป็นแผนกกับให้ระบุลูกทาสซึ่งติดมากับมารดาบิดาโดย ชัดเจน ถ้ามีผู้ไปติดต่อที่อำเภอห้ามเรียกเงินค่าตัว
3. พระบรมราชโองการประกาศเกษียณอายุลุกทาสลูกไท ประกาศ ณ วันอาทิตย์ เดือน 11 ขึ้น 8 ค่ำ ปีจอ จุลศักราช 1236 (18 ตุลาคม พ.ศ. 2417) บรรดาคนที่เป็นไทอยู่แล้ว หรือทาสที่หลุดพ้นค่าตัวไปแล้วต่อไปห้ามมิให้เป็นทาส บรรดาทาสที่มีอยู่ในเวลาออกพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่ทาสที่หลบหนีให้เจ้าเงินลดค่าตัวให้คนละ 4 บาทต่อเดือน.
พิมพ์ครั้งแรก โลกวันนี้ ฉบับวันสุข 6-12 ตุลาคม 2555
คอลัมน์ พายเรือในอ่าง ผู้เขียน อริน